การกู้เงิน เป็นที่ทราบกันดีว่ากว่าจะให้ธนาคารอนุมัติเงินนั้นก็ไม่ใช่ง่าย ๆ ดังนั้นจะต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้ธนาคารปล่อยกู้ได้อย่างผ่านฉลุย เพราะเครดิตทางการเงินนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ดังนั้นเมื่อเราต้องการจะขอกู้เงินหรือขอสินเชื่อทางการเงินไม่ว่าจะเป็นการขอกู้บ้าน กู้เงินมาเพื่อธุรกิจ เราจะต้องสร้างเครดิตทางการเงินให้น่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้ผู้ให้กู้เขาเชื่อใจเราว่าเราจะไม่หนีหนี้
ดังนั้นเรามาดูทั้ง 5 ทริคขอกู้เงิน
1. ประวัติเราก่อนขอสินเชื่อ
เมื่อเราต้องการขอสินเชื่อ ทางธนาคารก็จะใช้บริการบริษัทเครดิตบูโร เพื่อเช็คประวัติการชำระสินเชื่อต่าง ๆ ว่าเรามีประวัติการใช้จ่ายอย่างไร และมีการค้างการจ่ายเงินหรือไม่ เพราะถ้าเรามีชื่อขึ้นว่ามีการค้างชำระหนี้ ก็จะทำให้ธนาคารอนุมัติเงินกู้ยากมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการเข้ามาขอเงินกู้หรือสินเชื่อต่าง ๆ ก็ควรจะชำระให้ตรงเวลาตามที่ตกลงไว้
เครดิตบูโร เป็นชื่อองค์กรที่เก็บประวัติการใช้สินเชื่อจากธนาคารและสถาบันทางการเงิน ว่าเรามีการกู้เงินเท่าไร และจ่ายเงินได้ตรงเวลาหรือไม่ ดังนั้นเครดิตเหล่านี้จะถูกบันทึกเก็บไว้กับเสมอ
แต่หากเรามีการค้างชำระหนี้ หรือขึ้น Blacklist เครดิตบูโร จะเป็นเรื่องยากที่เราจะขอสินเชื่ออื่น ๆ เพราะการค้างชำระหนี้ จะทำให้สถาบันทางการเงินยากมากขึ้น รวมไปถึงการเข้าไปทำงานบางสายงาน ก็จะต้องมีการเช็คเครดิตก่อนเข้าทำงานอีกเช่นกัน ซึ่งใครพลาดค้างชำระหนี้ไปแล้ว เราก็สามารถทำให้เครดิตเรากลับมาดีได้ แต่จะต้องใช้เวลา ซึ่งจะต้องชำระให้ตรงเวลา ชำระให้ครบอย่างสม่ำเสมอจนครบ และหลังจากนั้น 36 เดือน หรือ 3 ปี สถานะก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
2. การเดินบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก
สำหรับมนุษย์เงินเดือนก็จะหมดห่วงกับเรื่อง ๆ นี้ไปเลย เพราะการบัญชีจะมีเงินโอนเข้ามาทุก ๆ เดือน แต่ถ้าจะทำให้บัญชีน่าเชื่อถือมากขึ้น ก็จะต้องมีเงินฝากนิ่ง ๆ ไว้ในบัญชีด้วย เพราะการที่เงินเข้ามาแล้วไม่ใช่เราจะใช้จ่ายไปจนหมดบัญชี ทำให้ธนาคารก็จะไม่ค่อยอยากจะให้กู้เงินสักเท่าไร
แต่สำหรับชาวฟรีแลนต์หรือผู้ที่มีกิจการเป็นของตัวเอง การเดินบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก การมีเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ เดือน ก็จะมีโอกาสสูงมากที่ธนาคารจะอนุมัติเงินกู้ได้สูงมากขึ้น เพราะธนาคารจะมองว่าลูกหนี้ที่มีรายได้มากพอก็จะนำเงินมาทยอยคืนได้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยได้
3. เช็คให้ดีว่าตนเองสามารถผ่อนได้เท่าไร
การกู้เงิน เราจำเป็นต้องรู้ว่าเรามีความสามารถในการผ่อนในแต่ละเดือนเท่าไร และจะต้องทำให้ไม่เดือดร้อนจนเกินไป
หากเรากู้บ้าน ธนาคารแจ้งว่าอนุมัติเงินกู้ได้ 40% ของรายได้ ซึ่งเงินผ่อนของแต่ละเดือนจะไม่เกิน 40% เช่น การกู้ทุก ๆ 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาท) จะต้องผ่อนคืน 7,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 30 ปี ดังนั้นหากเรามีรายได้ 50,000 บาท วงเงินที่เราสามารถขอให้ธนาคารอนุมัติเงินกู้ได้ประมาณ 3,000,000 บาท (สามล้านบาท)
4. การผ่อนสินค้า หรือเป็นหนี้ให้น้อยที่สุด
การผ่อนชำระสินค้า ทั้งหมดจะขึ้นในระบบเครดิตบูโร ว่าในแต่ละช่วงเวลาเราผ่อนชำระอะไรอยู่ หรือปัจจุบันมีผ่อนอะไรอยู่บ้าง ซึ่งการผ่อนสินค้า ธนาคารที่เรายื่นกู้เงินก็จะต้องรวมไปกับยอดที่เราจะกู้ใหม่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากเราจะกู้เงินใหม่ ควรจะต้องจัดการหนี้ก้อนเก่าให้หมดเสียก่อน เพื่อที่จะไม่กระทบกับวงเงินใหม่ที่อนุมัติ
เช่น วงเงินอนุมัติเงินกู้ทีแรกอยู่ที่ 40% แต่เรามีผ่อนสินค้าอยู่จำนวนหนึ่ง วงเงินอนุมัติก็จะลดลง เพราะว่าเรามีต้องผ่อนสินค้าอยู่ ดังนั้นหากเราอยากจะกู้เงินจริง ๆ ควรจะรีบจัดการหนี้อื่น ๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน
5. เตรียมเอกสารการกู้เงินให้พร้อม
ปัญหาการกู้เงินมากที่สุด คือ เอกสารไม่ครบ หรือเอกสารไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนการขอเงินกู้นั้นช้าลง ดังนั้นอยากทำให้เร็วที่สุด ควรจะสอบถามเจ้าหน้าที่ให้ละเอียดว่าจะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เพราะเมื่อเอกสารไม่ครบแล้วถูกตีกลับ หรืออาจจะทำให้ธนาคารปฏิเสธการกู้เงินรอบนั้น ๆ ไปเลย หากเราถูกปฏิเสธ ในรอบถัดไปที่เรายื่นคำขอเข้าไปก็จะทำให้ขอยากมากขึ้น
เอกสารเบื้องต้นที่ต้องเตรียม
1. บัตรประจำตัวประชาชน หรือ บัตรประจำตัวข้าราชการ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
2. สำเนาทะเบียนบ้าน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
3. ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
4. สำเนาทะเบียนสมรส/ใบหย่า/ใบมรณะบัตรของคู่สมรส (ถ้ามี)
5. สลิปเงินเดือนตัวจริง ย้อนหลัง 3 เดือน
6. Statement ตัวจริงย้อนหลัง 6 เดือน
7. สำเนาหลักฐานการปิดบัญชีหนี้เครดิตบูโร (ถ้ามี)
8. หน้าสมุดธนาคาร (บัญชีที่เงินเดือนเข้า)
9. ใบรับรองเงินเดือน
เราได้ดูทั้ง 5 ทริคการขอกู้เงินครบแล้ว เราจำเป็นต้องทำให้เครดิตของเรานั้นดีอยู่เสมอ เพราะเมื่อเรากู้เงินมาแล้วจ่ายเงินตรงเวลา ผู้ให้ยืมยังไงก็อยากให้เรายืมต่ออย่างง่ายกว่า แต่ถ้าเราผิดนัดบ่อย ๆ เข้าจะทำให้เราเสียเครดิต ซึ่งการเสียเครดิตไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะกว่าจะทำให้เครดิตกลับมาดีเหมือนเดิมก็จะต้องใช้เวลา 3 ปี ซึ่งไม่ใช่เวลาน้อย ๆ เลย และอาจจะทำให้เราเสียโอกาสต่าง ๆ ทั้งทางธุรกิจ ทางสิ่งของ เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ต้องระมัดระวังอย่างดี