ภาษีเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะใครก็จะต้องจ่าย แต่ว่าเรานั้นจะบริหารการจ่ายภาษีให้น้อยที่สุดได้อย่างไร เพราะเราจะต้องเสียภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งภาษีสังคม ซึ่งจะเป็นรายจ่ายที่สำคัญอย่างมาก แล้วเราจะต้องเสียภาษีเท่าไร แล้วมีอะไรบ้างที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้บ้าง เพื่อทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด เพื่อทำให้เราลดภาระรายจ่ายของตัวเราเอง
ภาษีทั้งทางตรงและภาษีทางอ้อม แตกต่างกันอย่างไร
ภาษีทางตรง เป็นภาษีที่ประเภทหนึ่งที่ทางรัฐบาลเรียกเก็บจากประชาชนทั้งประเภทบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งภาษีจัดเก็บจากรายได้และสินทรัพย์ต่าง ๆ และเป็นอีกหนึ่งภาษีที่ไม่สามารถผลักภาระภาษีไปยังผู้อื่นได้
ภาษีทางตรงได้แก่อะไรบ้าง
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นภาษีทางตรงที่จัดเก็บจากบุคคลที่มีรายได้ ซึ่งจะเรียกเก็บเป็นรายปี
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีทางตรงที่จัดเก็บจากเงินได้ของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีอัตราภาษีนิติบุคคลสูงสุดอยู่ที่ 20%
- ภาษีป้าย เป็นภาษีทางตรงในการเก็บป้ายจากการแสดงชื่อ หรือเครื่องหมายที่ใช้ประกอบการค้า หรือประกอบกิจการอื่น ๆ เพื่อหารายได้
- ภาษีโรงเรือน เป็นภาษีทางตรงที่จัดเก็บจากสิ่งปลูกสร้างหรือโรงเรือน ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคาร สำนักงาน บริษัท ธนาคาร โรงแรม เป็นต้น
- ภาษีบำรุงท้องที่ เป็นภาษีทางจริงที่จัดเก็บจากที่ดิน ที่ใช้ประโยชน์เพื่อปลูกบ้านที่อยู่อาศัย ที่ดินว่างเปล่า
- ภาษีมรดก เป็นภาษีทางตรงที่เรียกเก็บจากผู้รับมรดกหรือทายาท
- ภาษีทรัพย์สินต่าง ๆ เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ครอบครองทรัพย์สินที่ถูกกฎหมายกำหนดไว้ให้ต้องเสียภาษี
ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่รัฐจัดเก็บจากผู้บริโภคเป็นภาษีที่เป็นการผลักภาระทั้งหมดหรือบางส่วนให้กับผู้ซื้อหรือผู้บริโภคเป็นผู้รับชำระภาษีอากรแทนผู้ขาย ซึ่งรัฐจะจัดเก็บภาษีทางอ้อมเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป
ภาษีทางอ้อมได้แก่อะไรบ้าง
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าส่วนเกินจากการขายบริการหรือสินค่า ที่อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7%
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นภาษีที่จัดเก็บจากกิจการบางประเภทที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นพิเศษ เช่น กิจการธนาคาร ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจประกันชีวิต กิจการรับจำนำ เป็นต้น
- อากรแสตมป์
นอกเหนือจากนี้ภาษีสังคมคืออะไร
ภาษีสังคม เป็นรายจ่ายเพื่อการเข้าสังคม ได้แก่ งานเลี้ยง งานรับปริญญา งานวันเกิด งานบวช งานแต่ง เป็นค้น ซึ่งในบางครั้งเมื่อเราต้องการจะสร้างความมั่นคงในชีวิตนั้นก็อาจจะต้องประหยัดรายจ่าย แล้ววิธีในการลดหย่อนภาษีสังคม เราจะสามารถทำได้อย่างไร
- ปฏิเสธให้เป็น การเลือกไม่ตอบรับในทุกงาน หรือในทุกโอกาส จะต้องเลือกเฉพาะหรือที่จำเป็นจริง ๆ แต่ด้วยสังคมไทยนั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะปฏิเสธ
- เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เพราะภาษีสังคม จะเกิดขึ้นทันทีเมื่อเราได้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ซึ่งจริง ๆ แล้วคนที่เราจะต้องเปรียบเทียบมากที่สุดก็คือ ตัวเราเองที่เป็นเมื่อวาน เพราะถ้าวันนี้เราเก่งกว่าเมื่อวาน ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว
ดังนั้นภาษีสังคม เป็นภัยร้ายใกล้ตัวเราจริง ๆ เรามักจะจ่ายเงินไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกเช่นกัน แต่หากเราลดภาษีสังคมได้บ้าง ก็มีโอกาสในการเก็บเงินมากขึ้นเช่นกัน
วางแผนลดหย่อนภาษี จะเริ่มจากตรงไหนดี
การใช้ประกันชีวิต ประกันชีวิตแบบบำนาญนั้นก็เป็นแนวทางที่ดีมาก ๆ ทางหนึ่ง เพราะมีทั้งผลตอบแทน ช่วยสร้างวินัยทางการเงิน พร้อมกับช่วยลดหย่อนภาษีได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น การซื้อประกันที่ช่วยลดหย่อนภาษีไว้ตั้งแต่ต้นปีเลย ก็จะทำให้เราจัดการและบริหารทางการเงินได้ตลอดทั้งปี ถ้าเกิดเราไปเริ่มทำตอนปลายปี ก็อาจจะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อประกันหรืออาจจะเป็นภาระทางการเงินที่หนักจนเกินไป
เหตุผลสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงเป็นเรื่องของ การซื้อประกันเพื่อวางแผนในช่วงเวลาเกษียณ เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่เราจะไม่ได้ทำงานแล้ว ดังนั้นเราจะต้องวางแผนทางการเงินให้เป็นอย่างดีว่า ควรจะมีเงินเก็บเท่าไร แล้วในวัยเกษียณอยากจะมีเงินใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไร รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของตนเองอีกด้วย ดังนั้นประกันเพื่อวัยเกษียณก็เป็นอีกทางเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
แล้วรายได้เท่าไร ถึงจะต้องเสียภาษี เรามาดูตารางรายได้ตามลำดับขั้นกันค่ะ
เงินได้สุทธิ(บาท) | เงินได้สุทธิสูงสุด | อัตราภาษีร้อยละ | ภาษีในแต่ละขั้นเงินได้ | ภาษีสะสมสูงสุด |
0 – 150,000 | 150,000 | 5 | ยกเว้น | ยกเว้น |
150,001 – 300,000 | 150,000 | 5 | 7,500 | 7,500 |
300,001 – 500,000 | 200,000 | 10 | 20,000 | 27,500 |
500,001 – 750,000 | 250,000 | 15 | 37,500 | 65,000 |
750,001 – 1,000,000 | 250,000 | 20 | 50,000 | 115,000 |
1,000,001 – 2,000,000 | 1,000,000 | 25 | 250,000 | 365,000 |
2,000,001 – 4,000,000 | 2,000,000 | 30 | 600,000 | 965,000 |
4,000,001 ขึ้นไป | 35 |
ดังนั้นการที่พอจะทราบแล้วว่าเราจะต้องเสียภาษีด้านไหนบ้าง มีรายได้เท่าไรถึงจะเสียภาษีนั้นไว้ตั้งแต่เราเริ่มมีรายได้ก็เป็นเรื่องที่ดีมากเช่นกัน เพราะการวางแผนทางการเงินนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแค่ทำตามแผนการเงินของตัวเองอย่างมีวินัยให้ได้มากที่สุด เพราะรายได้ของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยนั้นก็สามารถที่จะจัดการและบริหารหารเงินให้เรามีเงินเก็บได้อีกเช่นกัน ดังนั้นอย่างแรกเลยว่าเราจะต้องรู้เลยเมื่อเราทำงานก็คือ เราเสียภาษีประเภทไหนบ้าง และประเภทไหนบ้างที่เรานั้นไม่ควรที่จะต้องจ่ายเลย เพื่อประโยชน์ของตนเอง