การลงทุนหุ้นเติบโตโดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี นักลงทุนต้องเข้าใจวัฏจักรเทคโนโลยีโดยอิงตาม Gartner Hype Cycle ซึ่งอธิบายทั้งความคาดหวังและการเติบโตสู่การนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อกระแสความคาดหวังลดลงอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นจะร่วงลงมาเยอะ นักลงทุนอาจเข้าซื้อในจังหวะนี้ด้วยเหตุผลราคาหุ้นลงมาเยอะ แต่นักลงทุนต้องย้อนกลับไปดูก่อนว่าผลประกอบการมีแนวโน้มเป็นอย่างไร พร้อมติดตามประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทด้วย ดังนั้นก่อนลงทุนหุ้นเติบโตให้ศึกษาโอกาสเติบโตของเทคโนโลยี การลงทุนหุ้นประเภทนี้จะต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักลงทุนต้องติดตามว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้โอกาสเปลี่ยนไปหรือไม่อยู่เสมอ
หุ้นเติบโต คืออะไร
หุ้นเติบโตหมายถึงความเจริญเติบโตของบริษัทและค่าหุ้นในระยะยาว ซึ่งแสดงถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้และกำไรของบริษัทตามเวลา การเติบโตของหุ้นเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญในการวิเคราะห์และลงทุนในหุ้น หากบริษัทมีการเติบโตแข็งแกร่งและยังคงสร้างค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น เรามักจะพบว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นในระยะยาว
การเติบโตของบริษัทและหุ้นสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยหลายวิธี ดังนี้
- เติบโตในยอดขายและรายได้ บริษัทที่มีการเพิ่มยอดขายและรายได้สะท้อนถึงการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งสามารถเกิดจากการขยายตลาด การเพิ่มลูกค้า หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
- เติบโตในกำไรสุทธิ บริษัทที่สามารถเพิ่มกำไรสุทธิโดยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ การลดต้นทุน หรือการเพิ่มประสิทธิผลในการใช้ทรัพยากร
- เติบโตในการขยายธุรกิจ บริษัทที่สามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ การยอมรับการค้าระหว่างประเทศ หรือการเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
การวิเคราะห์การเติบโตของหุ้นจำเป็นต้องดูข้อมูลทางการเงิน รายงานการประชุมผู้ถือหุ้น และปัจจัยอื่น ๆ เพื่อประเมินสภาพการเติบโตและการเจริญเติบโตของบริษัทและหุ้นในระยะยาว
3 ข้อควรระวัง ในการลงทุนหุ้นเติบโต Growth Stock จะต้องระวังอะไรบ้างมาดูกันเลย
1. ไม่เข้าใจธรรมชาติของการเติบโตของหุ้น
ตั้งแต่ทั้งโลกประสบกับวิกฤตโรคระบาดไวรัสโควิด 19 มีหุ้นระดับ Megatrend มากมายเริ่มเข้ามาในหน้าสื่อนักลงทุนประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น Biotech, Cloud, Fintech, Metaverse, Internet Technology, Clean Energy และอีกมากมายที่กำลังจะเข้ามาในอนาคต แต่การลงทุนหุ้นประเภทเทคโนโลยีใหม่ต้องเข้าใจ Gartner Hype Cycle ที่ถูกนำมาอธิบายวัฏจักรเทคโนโลยีตั้งแต่เริ่ม ขึ้นจนเป็นกระแสความคาดหวัง กลับสู่ความจริง และอยู่รอดเติบโตหรือหายไป ซึ่งเราจะอธิบายได้ดังนี้
- Technology Trigger เป็นช่วงแรกที่ทุกคนรู้จักเทคโนโลยีทำให้เกิดกระแสความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ แต่เทคโนโลยียังไม่สามารถใช้ได้จริง ยังไม่มีกำไร ขั้นนี้เป็นขั้นเริ่มต้นธุรกิจ
- Peak of Inflated Expectations เทคโนโลยีเข้าสู่กระแสหลักเรียบร้อย ได้รับความสนใจมากมาย มีการนำมาใช้กว้างขวาง จุดนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทจะผลักดันให้เทคโนโลยีประสบความสำเร็จหรือไม่ เช่น ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน, สร้างรายได้เพิ่มจนคุ้มทุนมีกำไร
- Trough of Disillusionment กระแสความนิยมเริ่มหาย ผู้ใช้เริ่มเห็นจุดบกพร่อง บางเทคโนโลยียังไม่สามารถใช้ได้จริง
- Slope of Enlightenment ขั้นนี้เป็นขั้นที่บริษัทต้องทำงานอย่างหนักเพื่อผลักดันเทคโนโลยีเข้าสู่กระแสหลัก มีการพัฒนาประสิทธิภาพ ขณะที่ผู้ใช้ก็เข้าใจว่าเทคโนโลยีดังกล่าวใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร จนถูกใช้งานเป็นวงกว้าง
- Plateau of Productivity เทคโนโลยีนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว ช่วงนี้เทคโนโลยีจะมีความนิ่ง ถูกใช้เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่กำลังเข้าสู่ขั้น Technology Trigger
2. ลงทุนเพราะราคาต่ำลงมากว่าช่วงก่อน
เมื่อถึงหลัง Peak of Inflated Expectations ต่อเข้าช่วง Trough of Disillusionment ราคาหุ้นจะร่วงลงมาเยอะ นักลงทุนอาจเข้าซื้อในจังหวะนี้ด้วยเหตุผลราคาหุ้นลงมาเยอะ แต่นักลงทุนต้องย้อนกลับไปดูก่อนว่าผลประกอบการมีแนวโน้มเป็นอย่างไร สำหรับบริษัทที่ยังไม่มีกำไรก็ต้องดูว่ารายได้มีแนวโน้มฟื้นตัวหรือยัง ประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operating Income) ดีหรือไม่
ดังนั้นอย่าลงทุนเพียงเพราะราคาลงมาเยอะ นักลงทุนต้องวัดอัตราส่วน Price-to-Sales ว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคู่แข่งหรือไม่ (สำหรับบริษัทที่มีกำไรก็ต้องใช้อัตราส่วน Price-to-Earnings) ควบคู่กับการติดตามแนวโน้มเทคโนโลยีว่ามีโอกาสใช้จริงได้หรือไม่ และดูประสิทธิภาพการจัดการธุรกิจในช่วง Trough of Disillusionment ซึ่งบริษัทที่ดี Operating Income ต้องเพิ่มขึ้น
3. ใช้อัตราส่วนการเงินไม่เหมาะสมตัดสินใจลงทุน
ต้องเข้าใจว่าหุ้นเติบโตโดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีใหม่มักไม่มีกำไรหรือมีก็น้อยมาก ยิ่งอยู่ในช่วง Trough of Disillusionment ยิ่งไม่ต้องนึกถึงกำไรเลย นักลงทุนบางคนที่ใช้อัตราส่วน Price-to-Earnings ก็จะไม่อยากลงทุน เพราะมองว่าอัตราส่วนดังกล่าวสูงมาก
นักลงทุนต้องใช้อัตราส่วนการเงินที่เหมาะสม เช่น บริษัทเติบโตที่ยังไม่มีกำไรควรใช้ Price-to-Sales วัดมูลค่า หรือถ้าธุรกิจกำลังมีกำไรก็ควรพิจารณา Price-to-Sales ควบคู่กับ Price-to-Earnings โดยดูคาดการณ์กำไรจากทั้งนักวิเคราะห์และผู้บริหาร ดังนั้นอย่าพลาดโอกาสลงทุนหุ้นเติบโตที่ดี เพียงเพราะใช้อัตราส่วนการเงินไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ธุรกิจ
ดังนั้นเมื่อเราเห็นแล้วว่าหุ้นเติบโตนั้นเป็นอย่างไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร รวมไปถึงจะเหมาะกับตัวเราหรือไม่อีกด้วย เพราะเนื่องจากหุ้นเติบโตนั้นจะไม่ค่อยมีกำไรและปันผล ทำให้มีความผันผวนมากกว่าตลาดหุ้นทั่วไป ดังนั้นคนที่ต้องการปันผลก็อาจจะไม่เหมาะกับหุ้นประเภทนี้ และเพื่อที่จะซื้อหุ้นตอนที่ราคาถูกและทำกำไรเมื่อราคาสูง นักลงทุนจึงต้องมีการจับจังหวะในการซื้อที่แม่นยำมากขึ้น และมีความเข้าใจเทคนิคในการเข้าซื้อมากขึ้น