หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการรีไฟแนนซ์บ้านกันมาบ้างแล้ว ว่ามีประโยชน์ ช่วยประหยัดดอกเบี้ย และทำให้ผ่อนบ้านได้ถูกกว่าการไม่รีไฟแนนซ์ ก่อนเข้าสู่เนื้อหาหลัก ณ ปัจจุบันทางธนาคารกลางแห่งประเทศไทย ได้ปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นจากเดิม 1.75% เป็น 2% ทำให้ในช่วงนี้เป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นครับ ดังนั้นจึงควรอย่างยิ่งที่จะทำการรีไฟแนนซ์บ้านในช่วงนี้
รู้จักกับรีไฟแนนซ์บ้าน
การรีไฟแนนซ์ คือ การจ่ายเงินกู้ที่มีอยู่แต่จะเป็นการยื่นขอกู้ใหม่ อาจจะเป็นการใช้ทรัพย์สินประเภทเดิม หรือหลักประกันประเภทเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนจะต้องให้ความใส่ใจอย่างมาก เพราะจะทำให้ทุกคนจ่ายดอกเบี้ยถูกลง เช่น การขอรีไฟแนนซ์บ้าน หรือรีไฟแนนซ์รถ ที่เมื่อการจ่ายเงินต่อเดือนค่อนข้างสูง ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็ค่อนข้างสูงอีกเช่นกัน ทำให้เราอาจจะเกิดปัญหาได้ เช่น โดนยึดบ้าน ยึดรถไป แต่การรีไฟแนนซ์นั้นก็จะทำให้ดอกเบี้ยนั้นลดลง เงินที่จะต้องจ่ายในแต่ละเดือนก็ถูกลง ระยะเวลาในการจ่ายเงินก็นานมากขึ้น ทำให้ผู้กู้ยืมจัดการชำระหนี้สินของตนเองได้จนครบ
ขั้นตอนการรีไฟแนนซ์บ้าน
- เช็คว่าธนาคารไหนที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม และเงื่อนไขที่ดีที่สุด ซึ่งอย่างไรก็แล้วแต่เราก็จะต้องหาข้อมูล รายละเอียด พร้อมกับทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
- หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้รับมา ทั้งข้อมูลธนาคารใหม่และธนาคารเก่าที่มีสัญญาเงินกู้มาเปรียบเทียบกัน เพื่อดูว่าเมื่อเราได้รีแนนซ์ไปแล้วจะประหยัดลงหรือไม่ หากไม่ประหยัดลงแล้วจะมีการวางแผนอย่างไรต่อไป
- หากได้ธนาคารที่ตรงกับเงื่อนไขแล้ว ก็ติดต่อธนาคารเดิมเพื่อขอ Statement สรุปยอดเงินกู้ และนำไปยื่นกับธนาคารใหม่ที่เราต้องการขอรีไฟแนนซ์
- ยื่นเรื่องเพื่อขอรีไฟแนนซ์ ซึ่งขั้นตอนนี้จะเหมือนกับตอนที่เรายื่นขอสินเชื่อในครั้งแรก และก็รอผลอนุมัติจากธนาคาร
- เมื่อธนาคารอนุมัติแล้ว เราจะต้องติดต่อกับธนาคารเก่า เพื่อนัดวันในการไถ่ถอนจากสำนักงานที่ดิน และธนาคารเก่าก็จะสรุปยอดหนี้สินที่เหลือให้อีก พร้อมกับการนัดกับธนาคารใหม่ เพื่อนัดวันทำสัญญาใหม่
- ไปสำนักงานที่ดิน เพื่อทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ และมอบโฉนดใหกับธนาคารใหม่
ค่าธรรมเนียมสำหรับสมัครรีไฟแนนซ์บ้าน
ในส่วนของการรีไฟแนนซ์บ้านจะมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นดังนี้ เพราะค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทางธนาคารจะหักอัตโนมัติจากวงเงินที่ให้กู้เรียบร้อยแล้ว โดยค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้าน จะมีดังนี้
- ค่าสำหรับสำรวจและประเมินหลัก : ขึ้นอยู่กับหลักประกัน โดยส่วนมากจะอยู่ที่ 2-3 พันบาทครับ
- คำสำหรับจดทะเบียนจำนอง : ค่านี้จะเสียอยู่ที่ประมาณ 1% ของวงเงินกู้
- คำธรรมเนียมอื่นๆ เพิ่มเติม :เช่น อากรแสตมป์ 0.005% ของวงเงินกู้
- ค่าประกันอัคคีภัย : แล้วแต่ราคาบ้าน เเต่เป็นภาคบังคับให้ต้องสมัคร โดยส่วนมากจะเสียอยู่ที่ 1-3 พันบาท
เอกสารที่ต้องใช้รีไฟแนนซ์บ้าน
เอกสารรีไฟแนนซ์จะมีทั้งหมด 3 ประเภทหลัก ๆ โดยในเอกสารรีไฟแนนซ์แต่ละประเภทก็จะมีเอกสารย่อย ๆ อีกมากมาย แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมเตรียมเอกสารไม่ครบ เราได้เตรียมมาให้ดูแล้ว
1. เอกสารแสดงข้อมูลส่วนบุคคล
เอกสารรีไฟแนนซ์ประเภทนี้จะเป็นเอกสารเกี่ยวกับผู้กู้ เพื่อให้ธนาคารสามารถยืนยันตัวตนได้ว่า เป็นตัวเราจริง ๆ ซึ่งจะประกอบด้วย ดังนี้
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
- สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ของคู่สมรส (ถ้ามี)
- สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี) / หย่า (ถ้ามี)
- สำเนาใบมรณบัตร และทะเบียนสมรสของคู่สมรส (กรณีคู่สมรสเสียชีวิต)
*หากถ้ามีผู้กู้ร่วม ต้องให้ผู้กู้ร่วมเตรียมเอกสารแสดงข้อมูลส่วนบุคคลเช่นกันอีกด้วย
2. เอกสารแสดงรายได้
เอกสารแสดงรายได้ ซึ่งเอกสารในส่วนนี้จะเป็นส่วนหลักที่ธนาคารจะใช้พิจารณาว่าเราเข้าเงื่อนไขในการขอยื่นรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารหรือไม่ เพราะสามารถแสดงสถานะการเงิน รายได้ และประวัติการเดินบัญชี ซึ่งเอกสารแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
2.1กรณีบุคคลมีรายได้ประจำ
- สลิปเงินเดือน ย้อนหลัง 3 เดือน หรือหนังสือรับรองการทำงาน
- สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
- หนังสือผ่านสิทธิสวัสดิการ (ถ้ามี)
- สำเนารับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) (สำหรับบางธนาคารเท่านั้น)
2.2 กรณีบุคคลที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว
- สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียน/ใบทะเบียนการค้า
- สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีชื่อผู้กู้/ผู้กู้ร่วม
- สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 12 เดือน (ทั้งในนามบุคคล และกิจการ)
- สำเนา ภ.พ. 30 (ถ้ามี) หรือ ภงด. 50/51 ย้อนหลัง 5 เดือน (ถ้ามี)
*หากมีผู้กู้ร่วม ต้องให้ผู้กู้ร่วมเตรียมเอกสารแสดงรายได้เหมือนกัน
2.3 กรณีบุคคลที่ประกอบอาชีพอิสระ
- Statemrnt ย้อนหลัง 6 เดือน
- 50 ทวิ หรือหนังสือรับรองการหีกภาษี ณ ที่จ่าย
- เอกสารกรเสียภาษี ภงด.90/91
- สำคัญต้องใช้ ใบอนุญาติประกอบวิชาชีพ
3. เอกสารด้านหลักประกัน
เอกสารด้านหลักประกัน จะเป็นเอกสารที่ยืนยันความเป็นเจ้าของหลักประกันที่จะนำมารีไฟแนนซ์ ซึ่งมีทั้งเอกสารจากธนาคารเดิม และเอกสารจากกรมที่ดิน ได้แก่
- สำเนาเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์หลักประกัน (เช่น โฉนดที่ดิน หรือ หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด อช.2)
- สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดิน ทด.13 หรือ สัญญาให้ที่ดิน ทด.14 หรือ สัญญาซื้อขายห้องชุด
- สำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน หรือ สำเนาสัญญาจำนองห้องชุด
- สำเนาสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินเดิม
- สำเนาใบเสร็จผ่อนชำระค่างวดบ้าน หรือ ถ้าผ่อนชำระแบบตัดค่างวดอัตโนมัติ ให้ใช้ รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 12 เดือน
เมื่อเราได้เห็นเอกสารที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ซึ่งเอกสารก็จะไม่ได้แตกต่างไปกับการขอยื่นกู้บ้านใหม่ แต่จะมีเพิ่มเติมในเอกสารด้านหลักประกันที่มาจากจำนองกับกรมที่ดิน และสัญญาเงินกู้ของธนาคารเดิม
ข้อดีของรีไฟแนนซ์บ้าน
อ่านกันมาถึงตรงนี้หลายคนคงเข้าใจการรีไฟแนนซ์บ้านกันไปบ้างแล้วว่าคืออะไร และมีขั้นตอนในการทำอย่างไร ต่อมาเรามาดูข้อดีของการรีไฟแนนซ์บ้านกัน
ดอกเบี้ยลดลง อย่างที่ได้บอกไปว่าเมื่อครบระยะสัญญา หรือ หมดโปรทางธนาคารจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้น ดังนั้นการรีไฟแนนซ์จะไปลดดอกเบี้ยตรงหนี้แหละ ซึ่งอย่างที่บอกไปครับว่าถ้ารีทุก 3 ปี จะประหยัดได้หลักพัน – หลักหมื่นต่อเดือน และหลักแสน – หลักล้านต่อเดือน
ผ่อนบ้านหมดเร็วขึ้น ผมจะยกตัวอย่างแบบง่าย
ตัวอย่างเช่น สมมุติเราผ่อนต่อเดือน 20,000 บาท จากเดิม อาจผ่อนเดอกเบี้ย 15,000 บาท แต่ตัดเงินต้นแค่ 5,000 บาท แต่หลังรีไฟแนนซ์ อาจจะผ่อน 20,000 เท่าเดิม แต่ตัดเงินต้นมากขึ้น เช่น 13,000 บาท และจ่ายดอกเบี้ยเพียงแค่ 7,000 บาท ดังนั้นระยะยาวหากเรารีไฟแนนซ์บ้านทุก 3 ปี เราจะผ่อนบ้านหมดเร็วกว่าเดิม 5-10 ปี หรือเร็วกว่านั้น
รีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารเดิมได้ไหม
หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถขอลดดอกเบี้ยจากทางธนาคารเดิมได้เลย คล้าย ๆ กับการรีไฟแนนซ์บ้านจากธนาคารใหม่ ซึ่งการขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม จะเรียกว่า การขอ Retention จะไม่ได้เรียกว่ารีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งจะเป็นการขอลดดอกเบี้ยบ้านจากธนาคารเดิมที่เราผ่อนอยู่แล้ว ซึ่งวิธีการได้แก่ บ้านหรือคอนโด เมื่อครบกำหนดสัญญา 3 ปีแรกจะเป็นในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ตามโปรโมชั่นของดอกเบี้ยบ้าน แต่หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยบ้านจะปรับเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นเราสามารถไปทำเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ยจากทางธนาคารเดิมได้เลย
ซึ่งข้อดีของการขอลดดอกเบี้ยบ้านธนาคารเดิม ได้แก่ ไม่ยุ่งยากเรื่องเอกสาร เรื่องดำเนินเรื่องยื่นใหม่ทั้งหมด เพราะเราก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ทางธนาคารเดิมมีข้อมูลของเราทั้งหมดอยู่แล้ว และอีกอย่างหนึ่งได้แก่ หากเราเริ่มมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี ซึ่งเราดูแล้วว่าไม่น่าจะรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารใหม่ให้ผ่านได้ เราก็อาจจะเลือกใช้วิธีการขอลดดอกเบี้ยจากธนาคารเดิมก่อนสัก 3 ปี แล้วเมื่อประวัติทางการเงินดีขึ้นแล้ว ค่อยเริ่มขอรีไฟแนนซ์บ้านใหม่ได้อีกเช่นกัน
ดังนั้นการรีไฟแนนซ์ก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้เราหมดหนี้ได้ไวมากขึ้น พร้อมกับเงินที่จ่ายไปทุกเดือนก็จะตรงจุดมากขึ้น แบบนี้เราจะต้องชั่งน้ำหนักดูว่าธนาคารไหนดอกเบี้ยต่ำหรือจะเลือกที่จะใช้บริการของธนาคารเดิม แต่ขอลดดอกเบี้ยบ้านแทน ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมาก