ก่อนอื่นเลยสำหรับนักลงทุนสายพื้นฐาน ในการเลือกหุ้นแต่ละตัว เราต้องหา “ราคาที่เหมาะสม (Fair Price)” ของบริษัทนั้น ๆ ให้เจอก่อน เพราะถ้า “ราคาในปัจจุบัน” สูงกว่า “ราคาที่เหมาะสม” แปลว่าเราควรขายหุ้นหรือไม่ซื้อหุ้นตัวนั้น แต่ถ้า “ราคาในปัจจุบัน” ต่ำกว่า “ราคาที่เหมาะสม” แปลว่า เราควรจะซื้อหุ้นตัวนั้น
การหาหุ้นที่ดีและสามารถลงทุนได้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น วัตถุประสงค์การลงทุนของคุณ เวลาที่พร้อมที่จะลงทุน เสี่ยงทางการเงินที่คุณพร้อมรับได้ เป้าหมายผลตอบแทนที่คุณต้องการ และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
หากคุณต้องการหุ้นที่ดี สามารถพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น
- การวิเคราะห์ข้อมูลการเงิน ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลการเงินของบริษัท เช่น รายงานการเงินปีล่าสุด เช็ครายได้ กำไรสุทธิ อัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น
- การวิเคราะห์ตลาด ศึกษาแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์และตลาดทั่วโลก วิเคราะห์ตลาดโดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การวิเคราะห์กราฟ เทรนไลน์ เป็นต้น
- การวิเคราะห์โดยเฉพาะของบริษัท ศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับธุรกิจและอุตสาหกรรมของบริษัทที่คุณสนใจ ศึกษาผลิตภัณฑ์และบริการ โครงสร้างค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงทางธุรกิจ
- การศึกษาข่าวสารและข้อมูล ติดตามข่าวสารและข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับบริษัท และตลาดที่เกี่ยวข้อง เช่น ข่าวการเปลี่ยนแปลงในบริษัท ข่าวทางการเงิน และเหตุการณ์ที่อาจมีผลต่อผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์
- การประเมินความเสี่ยง ให้คำนึงถึงความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับ รวมถึงการเสี่ยงทางการเงิน การเสี่ยงในตลาดหลักทรัพย์ และความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัท
การหาหุ้นที่ลงทุนได้ก็จะใช้ขั้นตอนเดียวกัน แต่เน้นที่ปัจจัยการเงินและการลงทุนเพิ่มเติม เช่น:
การศึกษาและวิเคราะห์ตลาด: ศึกษาแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์ วิเคราะห์เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ และการวิเคราะห์ข้อมูลการเงินเพื่อหาโอกาสทางการลงทุน
- การคาดการณ์ผลตอบแทน ประเมินค่าหุ้นโดยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น อัตราผลตอบแทนตามเป้าหมาย วิธีปรับค่า P/E และวิธี DCF (Discounted Cash Flow) เป็นต้น
- การประเมินความเสี่ยง คำนึงถึงความเสี่ยงทางการเงิน และความเสี่ยงในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนและการควบคุมความเสี่ยงให้เหมาะสม
วิธีที่เราจะได้ “ราคาที่เหมาะสม (Fair Price)” ของหุ้นตัวนั้นได้ ก็คือ การประเมินมูลค่าหุ้น มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี คือ
1. DDM (Dividend Discount Model)
คือ การประเมินมูลค่าหุ้นโดนใช้เงินปันผลที่บริษัทจ่ายออกมาให้กับผู้ถือหุ้น แต่วิธีนี้มีข้อเสีย คือ จะใช้ได้เฉพาะบริษัทที่จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเท่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ว่า บริษัทไหนที่ไม่จ่ายปันผลเราก็จะไม่สามารถประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทนั้นได้เลย ทำให้วิธีนี้อาจจะไม่ค่อยเวิร์คเท่าไร งั้นเรามาดูวิธีที่ 2 กัน
2. DCF (Discounted Cash Flow)
วิธีนี้เป็นการประเมินมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างแม่นยำ เพราะว่าใช้หลาย ๆ ตัวแปรเข้ามาประเมิน ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์กระแสเงินสด (Cash Flow) รวมไปถึงการคาดการณ์อัตราผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นต้องการ แต่วิธีนี้ก็มีข้อเสีย คือ การใช้กระแสเงินสดมาเป็นตัวประเมิน อาจจะไม่ถูกต้องสำหรับนักลงทุน เพราะกระแสเงินสดมาจากการที่เราเอากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (เช่น กำไรสุทธิ) มาหักกับกระแสเงินสดจากการลงทุนและกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินนั่นเอง
DDM เป็นเครื่องมือในการประเมินราคาหุ้นที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม DDM มีข้อจำกัดดังนี้
- อาจไม่เหมาะสมสำหรับบริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผลหรือมีอัตราเติบโตที่ไม่เสถียร
- การคาดเดาอัตราเติบโตในการเพิ่มเงินปันผลในอนาคตอาจเป็นที่ยากและมีความเสี่ยงในการทำนายผล
- ไม่สามารถใช้กับบริษัทที่เสียเงินปันผลหรือมีอัตราเติบโตติดลบ
เมื่อใช้ DDM ในการประเมินราคาหุ้น ควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจทั่วไป แนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์ และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลการวิเคราะห์ที่ถูกต้องและครอบคลุมที่สุด
3. P/E (Price-to-Earnings ratio)
คือ อัตราส่วนราคาต่อกำไร (ราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินว่าราคาหุ้นที่ลงทุนอยู่อย่างไรต่อกำไรที่บริษัททำได้ต่อหุ้น ซึ่งเป็นวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุดเลย เพราะเป็นวิธีที่แก้ไขข้อบกพร่องของวิธี DDM และ DCF ได้เป็นอย่างดี
และยังช่วยให้เรามีแผนการลงทุนมากขึ้นด้วย วิธีนี้เป็นการใช้ “กำไรสุทธิ” ในการประเมินมูลค่าหุ้น ดังนั้นหุ้นตัวไหนที่ไม่มีการจ่ายปันผลก็ยังสามารถหามูลค่าหุ้นได้ และการใช้ P/E ในการประเมินมูลค่าหุ้นก็จะตัดปัญหาเรื่อง“กระแสเงินสด”ออกไปด้วย และการประเมินด้วยวิธีนี้ มีตัวแปรที่ต้องคาดการณ์น้อย เพราะการหามูลค่าหุ้นโดยใช้ P/E จะมีตัวแปรที่เราต้องคาดการณ์เพียง 2 ตัวเท่านั้น คือ P/E และ EPS เพราะสูตรการคำนวณมูลค่าหุ้นของวิธีนี้ คือ การนำ P/E x EPS นั่นเอง
การใช้ P/E ratio เพื่อการวิเคราะห์หุ้นควรพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น
- ภาพรวมของธุรกิจ ควรศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทว่ามีโอกาสเติบโตอย่างไรในอนาคต และสามารถสร้างกำไรอย่างยั่งยืนได้หรือไม่
- การวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ ต้องพิจารณาเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจทั่วไปและแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์ เช่น การเติบโตของ GDP, อัตราดอกเบี้ย และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
- การวิเคราะห์ภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ ศึกษาแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ราคาที่ใกล้เคียงกับมูลค่าสุทธิของบริษัท (Intrinsic Value) และการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง และผลตอบแทนที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรอบ ดังนั้นควรทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดและศึกษาข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นใด ๆ และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาการเงินก่อนการลงทุนสำคัญ