การรีไฟแนนซ์บ้านดีอย่างไร

ความรู้เบื้องต้นการเงิน

การขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เป็นสินเชื่อที่มีการยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์มากที่สุด เพราะราคาของที่อยู่อาศัยนั้นมีราคาที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และการที่จะตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่อให้มีเงินไปซื้อที่อยู่อาศัยจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นผู้คนจึงจะใช้บริการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 

การรีไฟแนนซ์ คือ การจ่ายเงินกู้ที่มีอยู่แต่จะเป็นการยื่นขอกู้ใหม่ อาจจะเป็นการใช้ทรัพย์สินประเภทเดิม หรือหลักประกันประเภทเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนจะต้องให้ความใส่ใจอย่างมาก เพราะจะทำให้ทุกคนจ่ายดอกเบี้ยถูกลง เช่น การขอรีไฟแนนซ์บ้าน หรือรีไฟแนนซ์รถ ที่เมื่อการจ่ายเงินต่อเดือนค่อนข้างสูง ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็ค่อนข้างสูงอีกเช่นกัน ทำให้เราอาจจะเกิดปัญหาได้ เช่น โดนยึดบ้าน ยึดรถไป แต่การรีไฟแนนซ์นั้นก็จะทำให้ดอกเบี้ยนั้นลดลง เงินที่จะต้องจ่ายในแต่ละเดือนก็ถูกลง ระยะเวลาในการจ่ายเงินก็นานมากขึ้น ทำให้ผู้กู้ยืมจัดการชำระหนี้สินของตนเองได้จนครบ 

แล้วการรีไฟแนนซ์กับการไม่รีไฟแนนซ์ แบบไหนดีกว่ากัน จะต้องดูจากหลาย ๆ ปัจจัยประกอบกัน เพราะถ้าการรีไฟแนนซ์แล้ว คำนวณทั้งหมดแล้วไม่ต่างจากเดิมเท่าไร ก็ไม่แนะนำให้รีไฟแนนซ์ เพราะว่าเราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการย้ายธนาคารเพื่อรีไฟแนนซ์ หากได้ลองคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ส่วนต่างของเงินนั้นไม่ต่างกันมากเท่าไร แต่อาจจะเปลี่ยนมาขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิมแทนได้เหมือนกัน อันนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ยุ่งยากและคุ้มค่ากว่า

การรีไฟแนนซ์ที่ดีควรจะต้องเป็นการกู้เงินที่ทำให้ผู้กู้นั้นเกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะเมื่อเปรียบเทียบแล้ว “อัตราส่วนค่าใช้จ่ายสุทธิ” และ “หนี้สิน” จะเกิดจากการกู้ยืมก่อนหน้านี้ 

อย่างแรกที่เราจะมาดูก่อนได้แก่ ข้อดีและข้อเสียของการรีไฟแนนซ์คืออะไร

ข้อดีของการรีไฟแนนซ์

  • ยอดชำระต่อเดือนลดลง เพราะยอดเงินกู้ที่ลดลง ก็จะทำให้รายเดือนที่จะต้องจ่ายนั้นลดลงไป
  • ดอกเบี้ยสินเชื่อเงินกู้ลดลง ซึ่งจะทำให้ยอดชำระในแต่ละเดือนนั้นลดลงซึ่งทำให้เราจะมีเงินที่ส่วนต่างนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนในธุรกิจได้มากขึ้น หรือยอดชำระยอดชำระเท่าเดิม แต่อาจจะเป็นเงินต้นที่มากขึ้น เช่น บ้านผ่อนเดือนละ 20,000 บาทต่อเดือน สัญญาเก่าจะหักดอกเบี้ยอยู่ประมาณ ​12,000 บาท ซึ่งเงินต้นที่จ่ายอยู่ที่ 8,000 บาท แต่ถ้าเป็นสัญญาใหม่ จ่ายต่อเดือนเท่าเดิม จะหักดอกเบี้ยอยู่ 7,000 บาทต่อเดือน และเงินต้น 13,000 บาท ดังนั้นก็จะทำให้หนี้ของเรานั้นหมดไวขึ้น

ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์

  • ระยะเวลาการผ่อนชำระนานมากขึ้น จะทำให้เรามีหนี้สินยาวมากขึ้น และทำให้การขอสินเชื่ออื่น ๆ ยากมากขึ้น หรืออาจจะไม่ได้รับการอนุมัติ
  • เสียค่าการดำเนินการรีไฟแนนซ์ใหม่ เช่น ค่าปรับที่เราถอนออกจากไฟแนนซ์เดิมก่อนกำหนด ค่าเสียเวลาของตนเอง ในการเตรียมทั้งเรื่องของการเตรียมเอกสารต่าง ๆ เช่น เอกสารรายได้ของผู้กู้ หรือ Statement แต่หากผู้ที่มายื่นตกงาน หรือไม่มีรายได้ ก็จะไม่สามารถยื่นรีไฟแนนซ์ได้

การจะขอรีไฟแนนซ์ได้นั้น ผู้ขอสินเชื่อจะต้องขอสินเชื่อบ้านครบ 3 ปีแล้ว และเป็นการรีไฟแนนซ์กับยอดที่เหลือจากเงินต้น ถึงแม้ว่ายอดชำระต่อเดือนเท่าเดิม แต่ระยะเวลาการจ่ายชำระค่างวดนั้นน้อยลง 

เรามาดูตัวอย่างการรีไฟแนนซ์ และไม่รีไฟแนนซ์กัน

รีไฟแนนซ์เมื่อครบ 3 ปี 

  • งวดที่ 1 – 9 อัตราดอกเบี้ย 1.29% ต่อปี ซึ่งจะเท่ากับงวดที่ 37 – 45 เมื่อรีไฟแนนซ์
  • งวดที่ 10 – 36 อัตราดอกเบี้ย 5.75% ต่อปี ซึ่งจะเท่ากับงวดที่ 46 – 72 เมื่อรีไฟแนนซ์
  • งวดที่ 73 เป็นต้นไปจนครบหนี้ อัตราดอกเบี้ย 6.15%

ไม่รีไฟแนนซ์เมื่อครบ 3 ปี

  • งวดที่ 37 เป็นต้นไปจนครบหนี้ อัตราดอกเบี้ย 6.75% ต่อปี 

ขั้นตอนการรีไฟแนนซ์บ้าน

ขั้นตอนการรีไฟแนนซ์บ้าน
  1. เช็คว่าธนาคารไหนที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม และเงื่อนไขที่ดีที่สุด ซึ่งอย่างไรก็แล้วแต่เราก็จะต้องหาข้อมูล รายละเอียด พร้อมกับทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
  2. หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้รับมา ทั้งข้อมูลธนาคารใหม่และธนาคารเก่าที่มีสัญญาเงินกู้มาเปรียบเทียบกัน เพื่อดูว่าเมื่อเราได้รีแนนซ์ไปแล้วจะประหยัดลงหรือไม่ หากไม่ประหยัดลงแล้วจะมีการวางแผนอย่างไรต่อไป 
  3. หากได้ธนาคารที่ตรงกับเงื่อนไขแล้ว ก็ติดต่อธนาคารเดิมเพื่อขอ Statement สรุปยอดเงินกู้ และนำไปยื่นกับธนาคารใหม่ที่เราต้องการขอรีไฟแนนซ์
  4. ยื่นเรื่องเพื่อขอรีไฟแนนซ์ ซึ่งขั้นตอนนี้จะเหมือนกับตอนที่เรายื่นขอสินเชื่อในครั้งแรก และก็รอผลอนุมัติของธนาคาร
  5. เมื่อธนาคารอนุมัติแล้ว เราจะต้องติดต่อกับธนาคารเก่า เพื่อนัดวันในการไถ่ถอนจากสำนักงานที่ดิน และธนาคารเก่าก็จะสรุปยอดหนี้สินที่เหลือให้อีก พร้อมกับการนัดกับธนาคารใหม่ เพื่อนัดวันทำสัญญาใหม่
  6. ไปสำนักงานที่ดิน เพื่อทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ และมอบโฉนดให้กับธนาคารใหม่

ดังนั้นการรีไฟแนนซ์ก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้เราหมดหนี้ได้ไวมากขึ้น พร้อมกับเงินที่จ่ายไปทุกเดือนก็จะตรงจุดมากขึ้น  แบบนี้เราจะต้องชั่งน้ำหนักดูว่าธนาคารไหนดอกเบี้ยต่ำหรือจะเลือกที่จะใช้บริการของธนาคารเดิม แต่ขอลดดอกเบี้ยบ้านแทน ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมาก

บทความล่าสุด

หมวดหมู่

TAG