ทุก ๆ การใช้บัตรเครดิต จะมีระยะเวลาที่ปลอดอัตราดอกเบี้ย และผู้ใช้จะต้องจ่ายตามรอบอย่างตรงเวลาแต่บางกรณีก็จะมีการเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยสูงในกรณีที่เราไม่สามารถจ่ายเงินได้ตามเวลาที่กำหนดได้ และในเวลาที่เราจ่ายเงินขั้นต่ำ ก็จะมีวิธีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันออกไป อีกหนึ่งอย่างที่จะต้องระวังอย่างมาก ได้แก่ การกดเงินสดจากบัตรเครดิต เพราะจะถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยที่สูงมาก ๆ
การใช้บัตรเครดิตที่จ่ายเพียงแค่ขั้นต่ำของยอดชำระ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด ๆ ก็ตาม หรือจะเกิดปัญหาเงินหมุนไม่ทัน แต่การชำระยอดบิลบัตรเครดิตขั้นต่ำนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะแทนที่จะเป็นการทำให้ยอดหนี้สินเราน้อยลงก็สามารถสร้างหนี้สินได้มากกว่าที่เราคิดอย่างมาก
หนี้บัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเภทสินเชื่อเงินกู้ และบัตรเครดิตก็เป็นประเภทสินเชื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ก็จะหนี้ไม่พ้นกับ “หนี้บัตรเครดิต” เพราะการใช้บัตรเครดิตนั้นใช้งานง่าย สะดวกมากและคล่องมืออย่างมาก เพราะเหตุนี้จึงจะเหมาะกับคนที่ใช้เป็นเท่านั้น เพราะหากใช้งานไม่เป็น จ่ายค่างวดไม่ตรงเวลาที่กำหนด ก็จะเกิดดอกเบี้ยจากบัตรเครดิต ที่อาจจะสูงกว่า 20% เลยก็ได้
ตัวอย่างเช่น รอบบัตรเครดิต จะตัดทุกวันที่ 10 ของทุก ๆ เดือน แต่ถ้าเราใช้บัตรเครดิตในวันที่ 15 ก็จะมีระยะเวลาที่ไม่มีดอกเบี้ยประมาณ 25 วัน ซึ่งระยะเวลาที่ไม่มีดอกเบี้ย ก็ควรจะเตรียมเงินเพื่อจ่ายคืน แต่ถ้าเดือนไหนเริ่มมีการชำระขั้นต่ำระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยก็จะไม่มีอีกต่อไป เมื่อไรที่เราเริ่มใช้บัตรเครดิต ทางธนาคารก็จะคิดดอกเบี้ยทันที
การจ่ายขั้นต่ำ ตัวอย่างการคิดง่าย ๆ ในวันที่ 15 ใช้บัตรเครดิต 10,000 บาท แต่เมื่อครบวันที่ชำระแล้ว แต่เราจ่ายเพียง 1,000 บาท ดังนั้นจะมียอดหนี้เหลือ 9,000 บาท แต่ว่าทางธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยจากยอดที่เราใช้ไป 10,000 บาท ซึ่งหากเราค้างจ่ายเงินต้นเป็นระยะเวลานาน ทางธนาคารจะคิดคำนวณดอกเบี้ยของเงินก้อนเป็นรานวันไปจนกว่าจะถึงกำหนดชำระบัตรเครดิตรอบถัดไป เรียกง่ายว่า ถ้าจ่ายขั้นต่ำ ก็จะเป็นหนี้ทบหนี้ไปเรื่อย ๆ
“ดอกเบี้ยทบต้น” ทำให้เราต้องเหนื่อยที่จะต้องหาเงินมาจ่ายคืนกับธนาคาร และก็จะทำให้เราเป็นหนี้ท่วมหัวในที่สุด เพราะฉะนั้น เมื่อเราใช้บัตรเครดิตก็จะต้องมั่นใจว่า เราสามารถที่จะจ่ายคืนได้ตามกำหนดแน่นอน และไม่ทำให้เราลำบากอีกด้วย
เรามาดูขั้นตอนการปลดหนี้ง่าย ๆ ทั้ง 4 ขั้นตอน
1. วางแผนและรวบรวมข้อมูล
ก่อนจะเริ่มวางแผน เรามาดูหนี้สินของเรานั้นมีอยู่มากน้อยแค่ไหน แล้วเรานั้นสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเราเองได้หรือไม่ ดังนั้นถ้าหนี้ก้อนนั้นเป็น “หนี้ดี” ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ แต่ถ้าเราไม่สามารถสร้างรายได้ได้ ก็จะเรียกว่า “หนี้เสีย” ซึ่งไม่สามารถตัดสินได้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี
2. ชำระหนี้ดอกเบี้ยสูงก่อน
หลังจากที่เราตรวจสอบหนี้สินของเราทั้งหมดแล้ว ก็จะต้องมาจัดลำดับการปิดหนี้สิน เพราะการตรวจสอบก็จะทำให้เรารู้ด้วยว่าหนี้ในแต่ละก้อนมีอัตราดอกเบี้ยเท่าไร และจะต้องนำหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดมากที่สุกมาผ่อนชำระให้หมดก่อนหนี้ก้อนอื่น ๆ เพราะว่าหนี้สินนั้นจะทำให้เรามีรายจ่ายต่อเดือนมาก และเป็นอุปสรรคต่อการชำระหนี้อื่น ๆ อีกเช่นกัน
3. รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต
การกู้สินเชื่อใหม่มาปิดหนี้เก่าจะมีอีหนึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือเรื่องรายจ่ายดอกเบี้ย หากเป็นประเภทหนี้บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต หรือหนี้นอกระบบ สิ่งเหล่านี้จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ซึ่งผู้ขอสินเชื่อก็อาจจะต้องหาธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อรายใหม่แล้วนำมาปิดหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง หรือเรียกว่าง่าย ๆ ว่า “รีไฟแนนซ์” เพราะการสร้างหนี้ใหม่เพื่อมาปิดหนี้เก่า สามารถทำได้ แต่เราจะต้องมีเครดิตที่น่าเชื่อถือทางการเงิน เพื่อทำให้ทางสถาบันทางการเงินหรือธนาคารมั่นใจว่า เรานั้นจะไม่ทำให้เกิดหนี้เสียอีก
4. การรักษาวินัยทางการเงิน
ไม่ว่าจะมีหนี้สินมากแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเครดิตทางการเงินของเรา เพราะเครดิตการเงินนั้นก็เปรียบเสมือนความน่าเชื่อถือของเรา ไม่ว่าจะมีหนี้มากหรือมีหนี้น้อย ก็ควรที่จะต้องจ่ายให้ตรงตามงวดที่ได้ตกลงไว้ แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าเราจ่ายค่างวดไม่ไหว ก็จะต้องขอเจรจากับทางสถาบันทางการเงินเพื่อขอลดค่างวดหรือขอเพิ่มเวลาออกไป และอีกอย่างที่สำคัญมาก ๆ ก็จะต้องพยายามหารายได้เพิ่มเติมเพื่อทำให้เราปลดหนี้ได้ดีที่สุด เมื่อเรารู้ตัวว่าตัวเราเองนั้นมีหนี้เยอะ ก็จำเป็นที่จะต้องขยันมากขึ้นเพื่อให้เราปลดหนี้ได้เร็วมากขึ้น
บทความนี้ เราได้ดูทั้งเรื่องทำไมหนี้บัตรเครดิตถึงห้ามจ่ายขั้นต่ำ และวิธีการปลดหนี้ง่าย ๆ ทั้ง 4 วิธี ดังนั้นเราทุกคนจะต้องหมั่นตรวจสอบสถานะทางการเงินของตนเองว่า ตอนนี้เรามีปัญหาการเงินหรือไม่อย่างไร หากมีปัญหาอยู่ เราควรจะทำอย่างไรดี มีทางออกทางไหนบ้างที่เหมาะกับตัวเรา