ประกันสุขภาพแบบไหนเหมาะกับสไตล์เรา

ความรู้เบื้องต้นการเงิน

ประกันแบบไหนที่จะเหมาะกันสไตล์เรามากที่สุด ทั้งการแยกค่าใช้จ่าย หรือแบบเหมาจ่ายนั้นจะเหมาะกับตัวเรา เพราะแต่ละแบบก็จะมีความแตกต่างกัน การจ่ายค่าใช้จ่ายนั้นก็จะต่างกัน ดังนั้นเราจะต้องดูลักษณะการใช้ชีวิตของตัวเราเองก่อนว่าประกันแบบไหนนั้นเหมาะกับตัวเรามากที่สุด แล้วทำความเข้าใจกับแต่ละประเภทของประกัน

ประกันสุขภาพ เป็นรูปแบบประเภทอย่างหนึ่งที่สามารถรักษาพยาบาลที่มีความหลากหลายประเภทมาก ๆ ทั้งแบบแยกค่าใช้จ่าย และแบบเหมาจ่าย ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำก็จะต้องพิจารณาข้อดีและข้อจำกัดให้รอบคอบ เพราะประกันสุขภาพทำความเข้าใจง่าย ๆ เพราะมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย และคุ้มครองห้องเดี่ยวมาตรฐานของพยาบาล

การนอนโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ผู้ป่วยหรือญาติสามารถเลือกระดับห้องของโรงพยาบาลได้ตามสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้ เช่น 

  • ห้องราคาต่ำสุด ที่อาจเป็นห้องที่ต้องนอนรวมกับผู้ป่วยคนอื่น 2-6 คน 
  • ห้องเดี่ยวมาตรฐาน (ชื่อต่างกันในแต่ละโรงพยาบาล) ที่เป็นห้องส่วนตัวไม่ต้องนอนรวมกับผู้ป่วยอื่น โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับหนึ่ง ถือเป็นประเภทห้องเดี่ยวที่มีราคาต่ำที่สุดของโรงพยาบาลนั้นๆ 
  • ห้องเดี่ยวพิเศษอื่น ที่เป็นห้องส่วนตัว โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน เช่น เตียงขนาดใหญ่ขึ้นหรือเป็นเตียงไฟฟ้า ตู้เย็นขนาดใหญ่ขึ้น มีเตียงนอนสำหรับญาติผู้ป่วย เป็นต้น

ก่อนอื่น เรามาดูประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย และประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย มีความแตกต่างกันอย่างไร

1. ประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย 

1. ประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย 

จะเป็นการกำหนดวงเงินความคุ้มครองค่าอัตราค่าห้องพยาบาล ที่เราจะสามารถเลือกตามความต้องการของเราได้อย่างเหมาะสม โดยที่จะเบิกได้ในแต่ละรายการตามที่จริง แต่จะไม่เกินวงเงินที่ได้ทำประกันไว้ เช่น ค่าวงเงินผ่าตัด วงเงินค่าห้องพักรักษาพยาบาล วงเงินค่าตรวจเยี่ยมของแพทย์ เป็นต้น

ตัวอย่างของประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย ได้แก่ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลสูงสุด 5,000 บาทต่อวัน ซึ่งไม่เกิน 120 วัน ค่ารักษาทั่วไปสูงสุด 40,000 บาทต่อครั้ง ส่วนค่าผ่าตัดและค่าหัตถการ สูงสุด 100,000 บาทต่อครั้ง และครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน สำหรับผู้ป่วยนอกเนื่องจากอุบัติเหตุ

ข้อดีของประกันประเภทนี้ คือ เบี้ยประกันราคาไม่สูง ไม่มีการกำหนดวงเงินสูงสุดต่อปี ทำให้หากเจ็บป่วยหรือนอนโรงพยาบาลในเดือนที่แล้ว แต่เดือนนี้ก็จะต้องเข้าโรงพยาบาลอีก ก็สามารถทำให้วงเงินในการเบิกรักษาได้อีก ทำให้เราสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเหมาะสำหรับคนที่มีสวัสดิการ

ข้อจำกัด การมีการกำหนดวงเงินค่ารักษา ซึ่งแต่ละรายการวงเงินจะคุ้มครองจำกัด ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ได้ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริงจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่อง ก็จะทำให้การรักษานั้นมีผลกระทบกับผู้ป่วยลดลง แต่ค่ารักษาพยาบาลที่สูงมากขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้เราอาจจะต้องจ่ายเงินส่วนต่างที่ไม่สามารถเบิกได้

2. ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย 

2. ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย 

จะเป็นการกำหนดวงเงินค่ารักษาพยาบาลต่อครั้ง ยกเว้นบางประเภทรายการที่ยังคงเป็นแบบการแยกค่าใช้จ่าย ซึ่งจะยืดหยุ่นและมีความครอบคลุมมากกว่า ซึ่งจะเหมาะสมกันคนที่ต้องการความสบายใจ ไม่อยากกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติม แต่เบี้ยประกันก็จะสูงมากกว่าการแยกค่าใช้จ่าย

ตัวอย่างของประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ได้แก่ ความคุ้มครองต่อครั้ง 200,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายทั้งหมดตามจริง ไม่ว่าจะเป็น ค่าเอ็กเรย์ ค่าแล็บ ค่าผ่าตัด ล้างไต เคมีบำบัด ค่ารักษามะเร็ง หรือจะค่าอุบัติเหตุฉุกเฉินภายใน 24 ชั่วโมง

ค่าห้องพักโรงพยาบาล 2,000 บาท หรือค่าห้อง ICU 4,000 บาท และค่ายากลับบ้านเพิ่มเติม 1,000 บาท เป็นต้น

ข้อดีของประกันประเภทนี้ คือ ทำให้เรานั้นไร้กังวล เพราะวงเงินนั้นครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่อปี และเราก็สามารถเลือกวงเงินได้สูงสุดถึงล้านบาท ซึ่งทำให้เพียงพอครอบคลุมค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริงมากกว่า ไม่ว่าค่าใช้จ่ายการรักษาบริการในอนาคตที่จะปรับสูงขึ้น เราไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าจะต้องจ่ายค่าส่วนต่างเพิ่มเติม

ข้อจำกัด ค่าเบี้ยประกันค่อนข้างสูง หากเป็นแผนที่วงเงินสูงมากเท่าไร ค่าเบี้ยก็จะสูงมากเท่านั้น ซึ่งอีกปัจจัยหนึ่งอายุของผู้ซื้อประกันมากขึ้นในแต่ละปี  มีการจำกัดวงเงินเรื่องค่าห้องพัก ซึ่งอาจจะไม่ได้รวมกับวงเงินเหมาจ่าย ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ซื้อประกันสุขภาพมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวเกินในเรื่องของค่าห้องพักเพิ่มเติมในกรณีที่ค่าห้องสูงเกินวงเงินที่กำหนด

สำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าพยาบาลเกิดขึ้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายค่ารักษา ก็อาจจะเป็นคำตอบได้ดีมากกว่าประกันสุขภาพแบบแยกจ่าย เพราะการวางแผนประกันสุขภาพอย่างเหมาะสมจะต้องไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ทั้งปี และสำหรับผู้ที่มีงบทำประกันสุขภาพต่อปีไม่สูงมากนัด การเลือกซื้อประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่ายนั้นก็จะเป็นทางออกที่เหมาะสมเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าวงเงินที่รักษานั้นอาจจะไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุดแล้วหากเกิดเหตุขึ้นมา ก็จะมีวงเงินส่วนหนึ่งมาช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และเปรียบเสมือนการเตรียมวางแผนไว้ก่อนก็ดีกว่าไม่มีแผนรองรับเลย

ดังนั้นการวางแผนเกี่ยวกับประกันสุขภาพ เพื่อทำให้การเงินของเรานั้นจะวางแผนได้ง่ายมากขึ้น ไร้ความกังวลจากเรื่องความไม่แน่นอนจากเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องสุขภาพ อุบัติเหตุ เราก็จะมีการคนมาดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายการรักษาทั้งหมดจนกว่าเราจะหายดี หรืออาจจะมีเงินชดเชยให้กับเราอีกด้วย หากเราต้องนอนพักในโรงพยาบาล หรือไม่สามารถทำงานได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร การเลือกประกันสุขภาพ จำเป็นอย่างมากที่จะต้องเลือกให้เข้ากับตัวเองมากที่สุด ไม่กระทบกับการเงินของเรามากจนเกินไป

credit : ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

บทความล่าสุด

หมวดหมู่

TAG