การลดหย่อนภาษีในแต่ละปีก็จะมีการปรับเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา และช่วงปลายปีกับต้นปี ทุกคนก็จะต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะเสียภาษี แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรกันว่า อะไรที่สามารถลดหย่อนได้บ้าง แล้วอย่างมนุษย์เงินเดือนมีรายได้เท่าไรถึงจะต้องยื่นเสียภาษี แล้วเราสามารถใช้สิทธิลดหย่อนจากการบริโภคอะไรได้บ้าง ในบทความนี้เราจะมาแจงรายละเอียดกันอีกรอบ เพื่อทำให้เราไม่ต้องจ่ายภาษี หรือจ่ายภาษีน้อยลง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของเราลงได้
ภาษีและเงินได้คืออะไร
ภาษี คือ เงินที่ประชาชนที่ต้องชำระให้กับรัฐ เพื่อให้รัฐนำเงินที่ได้ไปเพื่อบำรุงและสร้างเศรษฐกิจในประเทศ ตัวอย่างเช่น ระบบราชการ สาธารณูปโภค และการบำรุงรักษาสถานที่ต่าง ๆ แต่ถ้าเราเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็จะถูกเรียกเก็บเงินในประเภท 40(1) ซึ่งจะเป็นสิทธิหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาะ 50% ของรายได้ ซึ่งสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้รับค่าจ้างเป็นงาน หรือเรียกว่า ฟรีแลนซ์ จะจัดอยู่ในกลุ่มประเภทที่ 2 หรือ 40(2) ซึ่งจะได้สิทธิหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 50% ของรายได้ ซึ่งสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
ประเภทของเงินได้มีอะไรบ้าง
- ประเภท 40(1) รายได้ที่มาจากหน้าที่การงาน การจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส
- ประเภท 40(2) รายได้ที่ได้มาจากหน้าที่ หรือตำแหน่งงาน เช่น ค่ารับงาน ค่านายหน้า
- ประเภท 40(3) รายได้ที่มาจากค่าลิขสิทธิ์ เช่น รายได้จากการเขียนหนังสือ
- ประเภท 40(4) รายได้ที่ได้มาจากดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร
- ประเภท 40(5) รายได้ที่ได้มาจากการให้เช่าทรัพย์สิน ค่าเช่าบ้าน ค่ายานพาหนะ
- ประเภท 40(6) รายได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ
- ประเภท 40(7) รายได้ที่มาจากการรับเหมา
- ประเภท 40(8) รายได้ที่มานอกเหนือจาก 7 ประเภทข้างต้น
ค่าลดหย่อนคืออะไร
ค่าลดหย่อนภาษีเป็นสิทธิประโยนช์ที่ทำให้เรานั้นเสียภาษีน้อยลง และเมื่อทำตามหลักเกณฑ์ที่ทางรัฐบาลนั้นได้กำหนดไว้ ที่ทางรัฐบาลนั้นจะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับประชาชน ตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยเงินกู้ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนเพื่อการออม เงินบริจาค คู่สมรส เงินเลี้ยงดูบุตร เบี้ยประกัน เป็นต้น
เราจะแบ่งค่าลดหย่อนเป็น 5 หมวด
- หมวดลดหย่อนสำหรับตัวเอง เป็นค่าลดหย่อนที่เกิดขึ้นจากตัวเราเอง หรือจากความสัมพันธ์ในครอบครัว
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท ต่อปี
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาทต่อปี สำหรับคนที่มีคู่สมรส
- ค่าลดหย่อนบุตร 30,000 บาทสำหรับคนแรก แต่เมื่อได้คนต่อไปคนละ 60,000 บาทต่อปี
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาทต่อปี
- ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือทุพพลภาพ 60,000 บาทต่อปี
- ค่าฝากครรภ์และค่าทำคลอด ค่าใช้จ่ายไม่เกินท้องละ 60,000 บาท
- หมวดประกัน ผู้ที่ซื้อประกันจะได้รับสิทธิลดหย่อนเพื่อแบ่งเบาบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง
- ประกันชีวิตทั่วไปหรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ จะสามารถลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทตามที่ชำระจริง
- ประกันสุขภาพบิดามารดา ลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท
- ประกันสุขภาพตัวเอง ลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และจะต้องไม่เกินจาก 15% ของรายได้
- หมวดการเกษียณอายุ เป็นการที่รัฐบาลสนับสนุนให้เราเลือกที่จะนำเงินไปลงทุน เพื่อเป็นหลักประกันในอนาคตที่จะทำให้เรามีเงินใช้ในยามเกษียณ ซึ่งการลงทุนเพื่อการเกษียณจะต้องรวมกับประกันชีวิตแบบบำนาญแล้วจะไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้ และจะต้องไม่เกิน 500,000 บาทเมื่อรวมกับหมวดลงทุนเพื่อการเกษียณ
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF ลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ และจะต้องไม่เกิน 500,000 บาทเมื่อรวมกับหมวดลงทุนเพื่อการเกษียณ
- กองทุนรวมเพื่อการออม SSF ลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ และจะต้องไม่เกิน 500,000 บาทเมื่อรวมกับหมวดลงทุนเพื่อการเกษียณ
- กองทุนการออมแห่งชาติ กอช. ไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี แต่จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับหมวดหมู่ลงทุนเพื่อการเกษียณ
- กองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษ SSFX ซื้อได้ไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งจะต้องไม่รวมกับการออมเงินเพื่อเกษียณ
- เงินประกันสังคม ลดหย่อนได้ 5,850 บาท
- มาตรการรัฐ มาตรการที่จะส่งเสริมเพิ่มเติมในการกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายในเรื่องที่จะนำมาลดหย่อนได้นั้น ได้แก่
- ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ลดได้สูงสุด 100,000 บาท เมื่อเราซื้อบ้านหรือคอนโดด้วยเงินผ่อน ที่นำดอกเบี้ยที่จ่ายไปกับธนาคารมาลดหย่อนได้ โดยสามารถลดได้เฉพาะที่ดอกเบี้ยเท่านั้นไม่รวมเงินต้น
- ช้อปดีมีคืน ลดหย่อนได้สูงสุด 30,000 บาท ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี ซึ่งเราจะต้องติดตามข่าวว่าจะเป็นในช่วงเวลาไหน โดยปกติจะเป็นในช่วงปลายปีหรือต้นปี แต่ก็จะมีสินค้าที่ไม่สามารถร่วมมาตรการ ได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุรา บุหรี่ สลากกินแบ่งรัฐบาล ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
- เงินบริจาค
- บริจาคทั่วไป สามารถลดหย่อนภาษีได้ 10% ของรายได้
- บริจาคเพื่อการศึกษา สามารถลดหย่อนภาษีได้ 10% ของรายได้
- เงินบริจาคพรรคการเมือง ลดได้สูงสุด 10,000 บาท
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ก็จะเป็นสิทธิที่เราสามารถนำไปลดหย่อนได้ เพราะในแต่ละปีนั้นก็เราทุกคนจะต้องเสียภาษีตามรายได้ของเรา แต่ถ้าเราอยากจะเสียภาษีให้น้อยลง เราก็จะต้องนำเงินที่เราซื้อประกัน ได้บริจาคเงิน การลดหย่อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตนเอง คู่สมรส บิดามารดา บุตร เป็นต้น