ค่าใช้จ่ายจากโรคร้าย รับมืออย่างไรดีให้เงินเพียงพอ

เรื่องโรคร้ายนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ สำหรับทุก ๆ คนเลย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่จะมีโอกาสเกิดมากกว่าวัยอื่น ๆ นอกจากปัจจัยต่าง ๆ เช่นกรรมพันธุ์ พฤติกรรมในการใช้ชีวิต ลักษณะการทำงาน ความเครียด สภาพแวดล้อม เป็นต้น ดังนั้น ประกันโรคร้าย หรือประกันโรคมะเร็งจึงจำเป็นมาก ๆ ที่เราควรจะวางแผนทำไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในวันที่เราสุขภาพแข็งแรงดี เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง และยังไม่ให้กระทบต่อการเงินในอนาคตอีกเช่นกันหากเป็นโรคมะเร็ง 

ก่อนอื่นเรามาดู 5 โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยไปจำนวนมาก รวมไปถึงค่ารักษาแต่ละโรคเท่าไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้มองเห็นคร่าว ๆ ว่าเราจะต้องเดินไปในเส้นทางไหน และจะต้องเตรียมตัวอย่างไร

1. โรคมะเร็ง 

โรคมะเร็ง เป็นโรคที่เป็นอันดับหนึ่งที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดเลย ซึ่งพบว่าโรคมะเร็ง จะพบว่า ผู้ชาย จะเป็นมะเร็งตับและท่อน้ำดีมากที่สุด และตามมาด้วยมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ส่วนผู้หญิง จะเป็นมะเร็งเต้านมมากที่สุด รองลงมาเป็น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอดและท้ายที่สุดเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

ค่ารักษามะเร็งทุกกระบวนการรักษาจะอยู่ที่ 300,000 – 800,000 บาท ดังนั้นหากมีการวางแผนทางการเงิน ทางประกันที่ดีมาก ๆ เมื่อวันหนึ่งเราตรวจเจอโรคร้าย ประกันตัวนั้นก็จะสามารถช่วยเหลือเราทางการเงินได้ในระดับหนึ่ง เพื่อจะทำให้เราสบายใจเรื่องการเงินมากขึ้นเช่นกัน

2. โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือกสมอง เป็นสภาวะฉุกเฉินและเร่งด่วนมาก ๆ ในทางการแพทย์ และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ๆ มีความเสี่ยงชีวิตสูงมาก และมีปัญหาที่ซับซ้อนในการรักษาพยาบาลมาก ๆ อีกทั้งยังต้องใช้เวลารักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ซึ่งอัตราการตายด้วยโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี ซึ่งเทียบแล้วมีอัตราการตายมากกว่าโรคเบาหวานและโรคหัวใจขาดเลือดเป็น 1.5 – 2 เท่าตัวเลย

โรคหลอดเลือดสมอง ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไกลตัวเลย และไม่ใช่โรคที่มักจะเกิดเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุอีกต่อไป เพราะเกิดได้แม้แต่ผู้ที่มีอายุน้อย ซึ่งในปัจจุบันนี้จะมีแนวโน้มในการเกิดโรคนี้ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี เพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ 

ค่ารักษาโรคหลอดเลือกสมองทุกกระบวนการรักษาจะอยู่ที่ 110,000 – 800,000 บาท ราคาค่ารักษาที่กล่าวมาจะเป็นแค่ราคาคร่าว ๆ เท่านั้น ซึ่งโรคนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายที่ควบคุมยากมากที่สุด และเราทุก ๆ คนไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าเราจะล้มป่วยไปรูปแบบไหน หรือเราจะเจ็บป่วยแบบฉุกเฉิน ซึ่งแน่นอนว่าค่ารักษาก็ฉุกเฉินตามไปด้วย

3. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง

อีกหนึ่งภัยเงียบอีกโรคหนึ่งคือ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอาการที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามธรรมชาติ อาจจะเต้นเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหลอดเลือดสมองอุดตันเพิ่มมากขึ้น

ค่ารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง มีค่ารักษาเริ่มต้น 200,000 – 700,000 บาท ซึ่งค่าตรวจโรค ค่ารักษาทางยา หรือจะต้องตรวจด้วยคลื่นความถี่สูง การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือจะเป็นการจี้หัวใจ ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ๆ จนทำให้เรามีปัญหาทางการเงินได้อีกเช่นกัน

แพทย์จะมีการรักษาโดยใช้ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ การใช้ไฟฟ้ากระตุกเพื่อปรับการเต้นของหัวใจ การใช้สายสวนเพื่อจี้กล้ามเนื้อหัวใจที่นำไฟฟ้าผิดปกติ และการฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น

4. โรคปอดระยะสุดท้าย

โรคปอด ใครที่ชอบสูบบุหรี่จะต้องระวังโรคนี้ให้เป็นอย่างดีเลย เพราะค่ารักษา ค่าตรวจ ค่าผ่าตัดรวมไปถึงค่ายาของโรคร้ายแรงชนิดนี้ มีค่ารักษาที่แพงมาก ๆ ซึ่งจากสถิติ คนไทยที่จะเสียชีวิตด้วยปอด 20,000 กว่าคนต่อปี หรือจะเฉลี่ย 2.47 คนต่อชั่วโมง และจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ อีกเช่นกัน

5. ไตวายเรื้อรัง

โรคไตวายเรื้อรัง เพราะคำว่าเรื้อรังนั้นก็เป็นเรื่องที่บ่งบอกให้รู้เลยว่า เป็นโรคที่เราจะต้องรักษาในระยะยาวแน่นอน ตัวอย่างเช่น ใครที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและโรคอ้วน อาจจะต้องระวังโรคเหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะอย่างน้อยเราจะต้องเตรียมเงินไว้อย่างน้อย 30,000 บาทต่อเดือน หรือปีละ 360,000 บาท

ซึ่งจากสถิติของประเทศไทยแล้ว คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคนี้กว่า 15,000 บาทต่อปี หรือเฉลี่ย 1.73 คนต่อชั่วโมง ซึ่งก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อีกเช่นกัน

จากข้อมูลค่ารักษาในแต่ละปี ราคาค่ารักษาพยาบาลในแต่ละโรค ยังไม่รวมค่าห้องพยาบาล ค่าแพทย์ ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แต่ห้ามลืมไปจนถึงเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้ค่ารักษาจะปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% อีกเช่นกัน

จากทั้งหมดที่กล่าวมานั้นค่าใช้จ่ายจากโรคร้ายนั้นก็จะทำให้เราเกิดปัญหาทางการเงิน หรืออาจจะสร้างหนี้ให้กับเรามหาศาลเลย ดังนั้นค่าใช้จ่ายโรคร้าย เรามีวิธีการแก้ไขจากการเลือกซื้อประกัน การลงทุนเพื่อได้รับผลตอบแทนที่สูงมากขึ้น เพื่อทำให้สภาวะทางการเงินนั้นคล่องมากขึ้นอีกเช่นกัน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในอนาคตหรือสิ่งที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้เช่นกัน เพราะโรคเหล่านี้ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลยว่าเราจะเป็นหรือไม่ในอนาคต ดังนั้นการเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในช่วงที่เราแข็งแรงอยู่ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เช่นกัน