การคิดค่าเสื่อมของสินทรัพย์

ความรู้เบื้องต้นการเงิน

การมีสินทรัพย์ถาวรจะต้องมีการคิดค่าเสื่อมของสินทรัพย์ด้วย ดังนั้นจะเป็นศัพท์ที่เรามักจะได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่าค่าเสื่อมของราคาทางธุรกิจ ได้แก่ ที่ดิน อาคารหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้บริหารค่าใช้จ่ายในบริษัทและการวางแผนภาษีได้ดีมากขึ้นอีกด้วย

สินทรัพย์ประเภทที่ดิน อสังหาริมทรัพย์และอุปกรณ์ เป็นสินทรัพย์ที่สามารถจับต้องได้ และเป็นทรัพย์สินที่ใช้ประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจ ทั้งการจำหน่ายสินค้าหรือการให้บริการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถใช้ได้มากกว่าหนึ่งรอบระยะบัญชี เพราะทุกอย่างเป็นต้นทุนโดยตรง

ก่อนอื่นเราทำความเข้าใจเรื่องค่าเสื่อมของราคากันก่อน

ก่อนอื่นเราทำความเข้าใจเรื่องค่าเสื่อมของราคากันก่อน

การคิดค่าเสื่อมของราคานั้น มาจากสินทรัพย์ถาวรและสามารถจับต้องได้ ซึ่งจะเป็นสินทรัพย์ที่เพื่อไว้ดำเนินงานของกิจการ โดยจะมีอายุการใช้งานมากกว่า 1 ปีขึ้นไป และจำทยอยตัดค่าใช้จ่ายของสินทรัพย์ถาสรไปตามอายุการใช้งาน เพื่อให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อสิทนทรัพย์ถาวรทยอยบันทึกลงในบัญชีในรูปแบบค่าเสื่อมของราคา เพื่อให้เราจัดการกับการบัญชี พร้อมกับการวางแผนทั้งงบประมาณ วางแผนภาษีนั้นง่ายมากขึ้น เพราะถ้าหากเราไม่มีการคำนวณเงินส่วนนี้เข้าไป หากเกิดความเสียหากของสินทรัพย์ขึ้นมาก็จะไม่รู้ว่าจะดึงเงินจากส่วนไหนออกมาเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ 

เราจะแบ่งออกเป็น ราคาที่ดิน ออกมาจากสิ่งปลูกสร้าง เหตุผลเพราะว่า ที่ดินนั้นจะไม่มีการเสื่อมของราคา มีแต่จะปรับราคาให้สูงมากขึ้น แต่สิ่งปลูกสร้างนั้นจะมีการสึกหรอไปตามการใช้งานและตามระยะเวลา ดังนั้นจะมีการคิดค่าเสื่อมของอสังหาริมทรัพย์

วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา

1. การคิดค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง 

จะเป็นการคิดค่าเสื่อมราคาต่อปี ซึ่งเป็นการคิดค่าเสื่อมราคาเฉลี่ยออกมาเป็นรายปี ปีละเท่า ๆ กัน แล้วก็ผลจากการคำนวณค่าเสื่อมราคาไปหักกับมูลค่าทรัพย์สินตลอดอายุการใช้งานซึ่งวิธีการนี้จะเหมาะกับการคิดกับอุปกรณ์การใช้งาน ซึ่งอัตราค่าเสื่อมของราคาอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 5% ต่อปี แต่หากเป็นอาคารชั่วคราวที่จะต้องมีการรื้อถอนนั้นจะคิดค่าเสื่อมราคาอยู่ที่ 100% ของมูลค่าทั้งหมด 

วิธีการคิด : ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (ราคาทุนของสินทรัพย์ – มูลค่าคงเหลือ) / อายุการใช้งาน 

ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ราคาเครื่องละ 50,000 บาท มูลค่าคงเหลือ 10,000 บาท อายุการใช้งาน 10 ปี

ดังนั้นค่าเสื่อมของราคาจะเป็น 4,000 บาทต่อปี

2. การคิดค่าเสื่อมราคาแบบอัตราเร่ง หรือเป็นการคิด 2เท่าของค่าเสื่อมแบบเส้นตรง 

จะคิดค่าเสื่อมของราคาที่สูงในช่วงปีแรก แต่ในช่วงปีถัด ๆ ไปก็จะลดลงตามจำนวนปี ตัวอย่างเช่น ซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่ ที่จะมีประสิทธิภาพที่สูงในช่วงแรก แต่พอปีถัด ๆ ไปประสิทธิภาพนั้นลดต่ำลงเรื่อย ๆ เนื่องจากเสื่อมสภาพ ซึ่งอาจจะต้องมีการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษา และอาจจะมีค่าใช้จ่ายเหล่านี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ 

วิธีการคิด : ค่าเสื่อมราคา = (ราคาทุน – ค่าเสื่อมราคาสะสม) x อัตราเสื่อมราคาทวีคูณ

ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ราคาเครื่องละ 50,000 บาท มูลค่าคงเหลือ 10,000 บาท อายุการใช้งาน 10 ปี

       อัตราค่าเสื่อมของราคา 100/10*2 = 20%

ปีที่ราคาตามบัญชีอัตราเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาราคาคงเหลือ
150,00020%10,00040,000
240,00020%8,00032,000
332,00020%6,40025,600
425,60020%5,12020,480
520,48020%4,09616,384
616,38420%3,276.813,107.2
713,107.220%2,621.4410,485.76
810,485.7620%2,097.1528,388.608
98,388.60820%1,677.7216,710.887
106,710.88720%1,342.1775,368.71
3. การคิดค่าเสื่อมราคาตามจำนวนผลผลิต หรือคิดค่าเสื่อมตามความจริง

3. การคิดค่าเสื่อมราคาตามจำนวนผลผลิต หรือคิดค่าเสื่อมตามความจริง

เป็นวิธีในการคำนวณค่าเสื่อมตามสัดส่วนที่ได้ใช้งานจริง ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องคำนวณจากราคาทุน มูลค่าคงเหลือ ปริมาณในการผลิตทั้งหมด จำนวนที่สามารถผลิตได้ในแต่ละปี เพราะทั้งหมดนี้จะเป็นได้มีการคำนวณต้นทุนของสินค้าได้อย่างถูกต้อง และสร้างกำไรให้ธุรกิจของตนเองได้

วิธีการคิด : ค่าเสื่อราคาแบบจำนวนการผลิต = (ราคาทุน – ราคาซาก) / จำนวนผลผลิตทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น เครื่องจักรสามารถผลิตสินค้าได้ 1,000,000 ชิ้นตลอดอายุการใช้งาน 

ราคาทุนของเครื่องจักร 1,200,000 บาท 

ราคาซาก 200,000 บาท

จำนวนผลผลิตทั้งหมด 1,000,000 ชิ้น 

ดังนั้นเมื่อเฉลี่ยแล้ว เครื่องจักรเครื่องนี้ จะมีต้นทุน 1 บาท ต่อ 1 ชิ้น แต่ถ้าในช่วง 1 ปีผลิตสินค้า 250,000 ชิ้น ก็จะมีราคาค่าเสื่อมของเครื่องจักร 250,000 บาท

4. การคิดค่าเสื่อมราคารวมจำนวนปี

จะเป็นวิธีการใช้สัดส่วนจำนวนปีที่เหลือของการใช้งานนั้น ๆ มีคิดค่าเสื่อม 

วิธีการคิด : (ราคาทุน – มูลค่าคงเหลือ) x จำนวนปีที่เหลือ / ผลรวมจำนวนปี

ตัวอย่างเช่น 

ซื้อคอมพิวเตอร์วันที่ 11/01/2023
ราคา                                          35,000 บาท
มูลค่าซากของสินทรัพย์                 2,000 บาท
อายุการใช้งาน                                    5  ปี 

โดยคิดค่าเสื่อมราคาวิธีผลรวมตัวเลขจำนวนปี

ราคาสินทรัพย์ที่นำมาคิดค่าเสื่อมราคา     = ราคาสินทรัพย์  –  ราคาซาก

= 35,000 – 2,000  

= 33,000 

ปีที่ราคาสินทรัพย์ผลคูณค่าเสื่อมของราคา
133,000x5/1511,000
233,000x4/158,800
333,000x3/156,600
433,000x2/154,400
533,000x1/152,200
1515/1533,000

ค่าเสื่อมของราคานั้นจะส่งผลกระทบต่อการงบประมาณ เพราะของทุกอย่างนั้นจะมีการเสื่อมสภาพลงไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา และเป็นเรื่องที่ผู้ที่ทำบัญชีนั้นก็ควรจะเข้าใจ เพราะจะเกิดตัวเลขเหล่านี้ขึ้นในบัญชี รวมไปถึงจะได้เข้าใจว่ากำไรสุทธิของบริษัทนั้นมีที่มาอย่างไร

บทความล่าสุด

หมวดหมู่

TAG