วางแผนภาษีต้นปีอย่างไรให้ปัง

ความรู้เบื้องต้นการเงิน

การวางแผนภาษีที่ดีตั้งแต่ต้นปี สามารถทำได้ง่าย ๆ แล้วเพราะเหตุใดถึงต้องวางแผนภาษีตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากจะได้เป็นการวางแผนทางการเงิน บริหารการเงินของเราตั้งแต่ต้นปีเลย ในแต่ละปี เราจะต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง เช่น ค่าประกันต่าง ๆ ทั้งประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันรถ ภาษี และวางแผนเรื่องการลดหย่อนภาษี เป็นต้น 

การวางแผนภาษี คืออะไร

การวางแผนภาษี เป็นการเตรียมตัวเพื่อให้ผู้ที่มีรายได้นั้นได้เสียภาษีได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วนตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ และจะต้องรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีด้วยเช่นกัน ทำให้เรามีภาระทางภาษีที่น้อยลง หากแต่ละคนวางแผนการจ่ายภาษีได้เป็นอย่างดี เงินที่สามารถลดหย่อนภาษีมาได้นั้นก็สามารถนำไปต่อยอดได้ เช่น ลงทุนเพิ่ม หรือเก็บออมเพื่ออนาคต เป็นต้น

ดังนั้น การวางแผนภาษีที่ดี ก็จะต้องเข้าใจรายละเอียดเรื่องภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาก่อน พร้อมกับต้องรู้จักรักษาสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีด้วยเช่นกัน

4 ขั้นตอนวางแผนภาษี

1. เข้าใจประเภทและค่าใช้จ่ายของเงินได้

1. เข้าใจประเภทและค่าใช้จ่ายของเงินได้

ภาษีเงินได้ประเภทบุคคลธรรมดา เป็นภาษีทางตรงที่บุคคลธรรมดานั้นจะต้องเสียให้ถูกต้อง จะมีวิธีคิดจาก “เงินได้สุทธิ” * “อัตราภาษี” 

ซึ่งรายได้ที่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีมีอยู่ 8 ประเภท ทางกรมสรรพากรจะแบ่งตามประเภทอาชีพและต้นทุนในการประกอบอาชีพที่แตกต่างกัน เพื่อความเป็นธรรมในการคำนวณและจ่ายภาษีมากที่สุด แต่ก็มีหลายกรณีที่เงินได้ของบุคคลอาจถูกจัดว่าเป็นเงินได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะสัญญาการจ้างงานหรือข้อตกลงทางธุรกิจ เราจึงควรทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ในการจำแนกประเภทของเงินได้ เพื่อให้เกิดการหักค่าใช้จ่ายอย่างคุ้มค่ามากที่สุด

ประเภทเงินได้หักค่าใช้จ่าย
1.รายได้จากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส เป็นต้น50% ไม่เกิน 100,000 บาท(หากมีเงินได้ประเภทที่ 1 และ 2 ให้นำเงินทั้ง 2 ประเภทมารวมกัน แต่จะหักได้ไม่เกิน 100,000 บาท)
2.รายได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือการรับทำงานให้ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า เบี้ยประชุม เป็นต้น
3.รายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ค่าลิขสิทธิ์ เป็นต้น50% ไม่เกิน 100,000 บาท หรือตามจริง
4.รายได้ที่เป็นผลตอบแทน เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล เครดิตภาษีเงินปันผล ส่วนแบ่งกำไรขายหน่วยลงทุน กำไรจากการขายหรือส่วนแบ่งกำไรจากการถือคริปโต เป็นต้นหักค่าใช้จ่ายไม่ได้
5.รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน การผิดสัญญาเช่าซื้อ หรือการผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน เช่น บ้าน สิ่งปลูกสร้าง ที่ดินเพื่อการเกษตร ที่ดินไม่ใช้เพื่อการเกษตร ยานพาหนะ ทรัพย์สินอื่น เป็นต้นตามจริงหรืออัตราเหมา ตั้งแต่ 10% – 30%
6.รายได้จากวิชาชีพ เช่น ประกอบโรคศิลปะ กฎหมาย วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี ประณีตศิลปกรรมตามจริงหรืออัตราเหมา 60%30%
7.รายได้จากการรับเหมาพร้อมอุปกรณ์และสัมภาระ เช่น รับเหมาก่อสร้าง เป็นต้นตามจริงหรืออัตราเหมา 60%
8.รายได้จากการประกอบธุรกิจ เช่น การพาณิชย์ การขนส่ง อุตสาหกรรม ขายของชำ ประมง และอื่น ๆ เป็นต้นตามจริงหรืออัตราเหมา 60%(ยกเว้นกรณีการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นที่ไม่ได้มุ่งหากำไร)

2. รักษาสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี

การวางแผนเรื่องลดหย่อนภาษีนั้นจะช่วยให้รายได้สุทธิของเราน้อยลง และทำให้เราเสียภาษีน้อยลงด้วยเช่นกัน ซึ่งเราจะแบ่งง่าย ๆ เป็น 3 ส่วนดังนี้

  1. สิทธิลดหย่อนขั้นพื้นฐานของชีวิต เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ค่าดูแลพ่อแม่ ค่าดูแลบุตร เป็นต้น
  2. สิทธิลดหย่อนเพื่อการออมและลงทุน เพื่อช่วยประหยัดภาษีและวางแผนเกษียณไปด้วย ได้แก่ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จ บำนาญข้าราชการ เป็นต้น
  3. สิทธิลดหย่อนเพื่อการบริจาคเงินให้องค์กรการกุศลหรือสนับสนุนการศึกษา

3. เข้าใจวิธีคำนวณภาษี

3. เข้าใจวิธีคำนวณภาษี

ก่อนอื่นเลยเราจะต้องเข้าใจก่อนว่ารายได้เท่าไรถึงจะเสียภาษี ก็จะทำให้เราสามารถคำนวณได้คร่าว ๆ ว่าจะต้องเสียภาษีเท่าไรในปีนั้น ๆ 

เงินได้สุทธิ(บาท)เงินได้สุทธิสูงสุดอัตราภาษีร้อยละภาษีในแต่ละขั้นเงินได้ภาษีสะสมสูงสุด
0 – 150,000150,0005ยกเว้นยกเว้น
150,001 – 300,000150,00057,5007,500
300,001 – 500,000200,0001020,00027,500
500,001 – 750,000250,0001537,50065,000
750,001 – 1,000,000250,0002050,000115,000
1,000,001 – 2,000,0001,000,00025250,000365,000
2,000,001 – 4,000,0002,000,00030600,000965,000
4,000,001 ขึ้นไป35

4. รู้ช่องทางยื่นภาษี

เมื่อได้คำนวณภาษีของตนเองแล้ว รู้แล้วว่าต้องลดหย่อนอะไรบ้าง อีกอย่างที่จะต้องรู้เลยคือจะต้องเข้าไปยื่นแบบเสียภาษีให้เรียบร้อย ซึ่งจะต้องอ่านรายละเอียดในเอกสารที่เราได้แนบส่งอย่างละเอียดก่อนเสมอ เพราะการยื่นภาษีหากยื่นผิด ยื่นเอกสารไม่ครบ ข้อมูลผิดก็จะทำให้เกิดความล่าช้าไปได้ ได้เงินคืนช้าอีกด้วย เพื่อให้ทุกอย่างเสร็จด้วยความรวมเร็วมากที่สุด จะต้องยื่นให้ตรงเวลา หากจ่ายช้ากว่าเวลาที่กำหนด ก็จะต้องค่าปรับภาษี 1.5% ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม

ดังนั้นการวางแผนภาษีที่ดีตั้งแต่ต้นปี มีแต่ข้อดีกับตัวเราอย่างมาก ทั้งลดหย่อนภาษีได้ ทั้งทำให้เราบริหารการเงินได้ดีขึ้นอีกด้วย ทำให้ช่วงปลายปี เราไม่ต้องมานั่งปวดหัวว่าเงินไม่พอใช้จ่ายค่าประกันต่าง ๆ หรือเงินไม่พอไปเที่ยวแล้ว อาจจะทำให้เราต้องมานั่งเสียใจว่าปีที่ผ่านมาเราบริหารเงินของตัวเองได้ไม่ดีเลย ซึ่งก็อาจจะกระทบไปจนถึงช่วงต้นปีถัดไปเลยก็เป็นได้นะ

บทความล่าสุด

หมวดหมู่

TAG