มนุษย์เงินเดือนต้องมีบัญชีทั้ง 4 ประเภทนี้

มนุษย์เงินเดือน

บัญชีธนาคารเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เราจัดการการเงินได้เป็นอย่างดี และทำให้เรื่องยากในการจัดการเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น เนื่องจากการแบ่งบัญชีในการใช้งาน ก็จะช่วยให้เรามีระเบียบวินัยทางการเงินของเรามากขึ้น เพราะจะทำให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าแต่ละวัน แต่ละหมวดหมู่ที่เราใช้เงินไปนั้น ใช้เงินไปมากน้อยแค่ไหน และจะทำให้ตัวเราสามารถบริหารการเงินในแต่ละเดือนได้ดีมากขึ้นอย่างแน่นอน

ในบทความนี้จะเล่าถึงการแบ่งบัญชีสำหรับมนุษย์เงินเดือน แต่อย่างไรก็ตาม การวางแผนทางการเงินอย่างเดียวจะไม่เพียงพอ แต่จะต้องลงมือทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้เรานั้นสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินของเราได้

1. บัญชีเงินที่ใช้ชีวิตประจำวัน

1. บัญชีเงินที่ใช้ชีวิตประจำวัน

จะเป็นบัญชีที่สามารถใช้เงินได้ทันที และมีสภาพคล่องสูงมาก โดยส่วนใหญ่จะใช้คู่กับบัตรเครดิตหรือบัตร ATM ซึ่งบัญชีนี้ควรจะมีเงินให้เพียงพอใช้ในชีวิตประจำวันในแต่ละเดือน เมื่อเราได้รับเงินเดือนมากนั้น ก็ควรจะลองคำนวณว่าในแต่ละเดือนของเรานั้นจะใช้เงินกับค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไปเท่าไร ก็จะแบ่งไว้ในบัญชีนี้  

ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราจัดระเบียบทางการเงินได้ดีมากขึ้น เพื่อช่วยลดปัญหาของการใช้เงินเกินตัว หรือกังวลว่าจะไม่มีเงินเก็บเลย 

ตัวอย่างเช่น ได้รับเงินเดือนมา 35,000 บาท หักค่าเช่าห้อง 7,000 บาท ค่าน้ำไฟ 1,000 บาท ฝากประจำ 2,500 บาท จะเหลือ 24,500 บาท 

ต่อมา เราจะมาคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละวันกัน เพื่อเราจะได้แบ่งเงินไว้ใช้รายเดือนอย่างไม่ต้องกังวล ค่าข้าวค่าน้ำ 400 บาท ค่าเดินทางไปกลับ 120 บาท ดังนั้นตลอดทั้งวันเราจะใช้เงินประมาณ​ 520 บาท ถ้าต้องการจะคำนวณง่าย ๆ เลยก็จะเป็นวันละ 600 บาท ทั้งเดือนก็จะประมาณ 18,000 บาท (ซึ่งจะเป็นจำนวนเงินที่ประมาณ ในแต่ละคนก็จะใช้จ่ายไม่เท่ากัน) 

และเงินสำรองที่เหลือในแต่ละเดือน หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ก็จะเหลือ 6,500 บาทต่อเดือน ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็จะเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉินได้เป็นอย่างดีเลย เพราะการเงินสำรองควรจะมีไว้อย่างน้อย 3 – 6 เดือน เพราะเหตุการณ์ความไม่แน่นอนนั้นจะเกิดเมื่อไรก็ได้ เมื่อเรามีเงินสำรองไว้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้เราอุ่นใจมากกว่า

2. บัญชีเงินออมระยะสั้น

เป็นเป้าหมายทางการเงินในระยะสั้น ๆ ช่วง 1 – 5 ปี เพื่อการดาวน์บ้าน ดาวน์รถ การเตรียมตัวแต่งงาน หรือการลงทุนเพื่อทำธุรกิจ ในแต่ละเป้าหมายจะเป็นการแบ่งเพื่อทำให้ง่ายต่อการวางแผนทางการเงินมากขึ้น เพราะจะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายระยะสั้นแบบนี้ไม่ควรที่จะเก็บเงินไว้เฉย ๆ ควรจะเลือกไปลงทุนในระยะสั้นเพื่อที่จะได้ผลตอบแทน เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ระยะสั้น กองทุนรวม เป็นต้น 

อาจจะเป็นการฝากเงินที่ได้ดอกเบี้ยสูง ซึ่งจะเป็นการฝากประจำที่ได้อัตราดอกเบี้ยมากกว่าการฝากแบบออมทรัพย์ทั่วไป ได้แก่ บัญชีเงินออมดิจิทัล การฝากประจำแบบปลอดภาษี สลากออมทรัพย์ เป็นต้น

3. บัญชีเงินออมระยะยาว

3. บัญชีเงินออมระยะยาว

การออมเงินในประเภทระยะยาว จะเป็นบัญชีที่เหมาะกับการมีเป้าหมายในระยะยาวมากกว่า 10 ปีขึ้นไป เช่น การวางแผนเพื่อการเกษียณ เพราะเราจะต้องรู้ว่าเราจะเกษียณเมื่อไร ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังวัยเกษียณต่อเดือนเท่าไร อายุปัจจุบันเมื่อเราต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ เป็นต้น แต่ว่าการออมประเภทนี้ก็ไม่ควรที่จะเก็บเงินไว้เฉย ๆ ควรละเลือกไปลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งเราก็จะต้องยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างการลงทุนในระยะยาวที่น่าสนใจ ได้แก่

  1. กองทุนรวมเพื่อการออม “Super Saving Fund หรือ SSF” เป็นตัวเลือกเพื่อให้มีการออมเงินระยะยาวมากขึ้น ที่ไม่มีกำหนดขั้นต่ำ ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทั้งปี และได้สิทธิประโยชน์ทางการลดหย่อนภาษี มีทั้งกองทุนที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลและไม่จ่ายเงินปันผล
  2. กองทุนรวม RMF หรือ Retirement Mutual Fund เป็นกองทุนรวมประเภทที่ส่งเสริมในการออมเงินระยะยาว เพื่อนำไปใช้จ่ายในยามเกษียณ ซึ่ง RMF ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ แต่จำเป็นที่ต้องซื้อทุกปี

4. บัญชีเพื่อการเรียนรู้ และหาประสบการณ์

ประเภทของบัญชีนี้มีไว้เพื่อการสร้างรายได้เพิ่มเติมในอนาคต เป็นการเสริมทักษะพื้นฐานเพื่อการหารายได้ เพราะยิ่งเรามีทักษะมากขึ้น ก็ทำให้เรานั้นมีช่องทางที่จะเพิ่มรายได้มากขึ้น เช่น การเรียนถ่ายภาพ การเล่นดนตรี การเรียนถ่ายภาพ เป็นต้น หรือการหาประสบการณ์จากการออกไปท่องเที่ยว เพื่อให้เราได้เจอประสบการณ์ใหม่ ๆ จากผู้คนใหม่ ๆ หรืออาจจะเป็นการหาความสุขให้กับชีวิตของเราอีกเช่นกัน

การวางแผนทางการเงินของชาวมนุษย์เงินเดือน ควรจะต้องมีบัญชีทั้ง 4 ประเภทนี้ แต่ละคนอาจจะต้องปรับให้เข้ากับการเงินของตนเอง และสไตล์การใช้ชีวิตของตนเอง เพราะการวางแผนที่ดี ก็จะทำให้การเงินของเรานั้นไปในแนวทางที่ดีด้วยอีกเช่นกัน ดังนั้นการแบ่งบัญชีเป็นหมวดหมู่นั้นก็จะทำให้เราเห็นเป้าหมายทางการเงินของเราอย่างชัดเจนมากขึ้น พร้อมกับทำให้เรานั้นระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นอีกเช่นกัน

บทความล่าสุด

หมวดหมู่

TAG